Thursday, October 14, 2010
FAMILY MART เจาะลึกรายพื้นที่ เพิ่มพันธมิตร'อาหาร'ดันยอด
Monday, October 11, 2010
CENTRAL เลื่อนเปิด ZEN ปลายปี เล่นแรงซื้อ5หมื่นคืนเงิน1.2หมื่น/เซ็ตทีมบุก ONLINE
Friday, October 8, 2010
FASHION ISLAND ได้ฤกษ์เปิด KIDS ISLAND
Saturday, October 2, 2010
เซ็นทรัลลุยปั๊มยอดช็อปกระจาย เปิดตัว WHITE GOLD
Friday, March 26, 2010
Watsons to invest B215m this year
Image via Wikipedia
Managing director Toby Anderson said the budget would be used to open new stores, upgrade the IT system, work on marketing activities, develop its own label and train staff.
"Our parent firm is still confident in the health and beauty business in Thailand and will keep investing over the next 10 to 20 years. Watsons has been here for 13 years and our budget this year is the highest since 2005," he said.
Watsons is available in only 42 provinces across the country and it plans to expand.
The company expects to open 15 new outlets this year compared to seven new stores last year. Of the total, two-thirds will be upcountry with the balance in Bangkok, bringing the total to 185 by year-end.
In 2009, Watsons achieved its growth target despite adverse economic conditions.
The company was displaying its confidence in the country's long-term prosperity by investing in a customer relationship management (CRM) system, store improvement and staff training, said Mr Anderson.
According to research by AGB Nielsen, sales for Watsons grew 5% last year, more than supermarket and hypermarket channels, in all key categories of skin care, hair care and cosmetics. This was partly because of the strength of its brand, he said.
The company launched 400 items under the Watsons brand last year with its 'Grape Bella' skin-care line contributing a sales value of 21 million baht. Demand for the Watsons brand rose by 25% last year so this year the company will add another 200 branded products.
"This year, we will continue to focus on skin-care categories with the introduction of at least one new product each quarter," said Mr Anderson.
Watsons also plans to focus more on identifying customer segmentation, using the CRM system and customer analysis to tailor promotions.
He said the global retail health and beauty market was resilient and growing in Asia. In Thailand, the youth segment is especially strong and is driving demand.
Tuesday, November 24, 2009
CENTRAL plans B1bn sales drive
Image by Honou via Flickr
The year-end campaigns should generate sales of about 8.6 billion baht, said CDS president Yuwadee Chirathivat. Sales for the whole year should reach 27 billion baht, a 5% increase from last year.
The Central/Zen Midnight Sale 3 will offer discounts of up to 60% from Nov 25-Dec 1 with sales forecast at 750 million baht.
The Origin and Central Let's Celebrate 2010 runs Nov 23-Mar 9 with an expected sales revenue of 7.8 billion baht.
Piyawan Leelasompop, vice-president for marketing at CDS, said the company has increased its marketing budget by 20% to stimulate sales near the year-end.
"We saw signs that the local economy will start a recovery soon but political problems are still a concern," she said.
Shoppers at Central department stores have spent more since the third quarter. Average spending per bill is currently up to between 2,000 to 3,000 baht, significantly higher than 1,800 to 2,300 baht in the first quarter.
Sales at CDS rose by 7% year-on-year in September, higher than the average monthly sales growth in the first two quarters.
Ms Yuwadee said CDS expects to achieve sales growth of more than 7% in the final quarter.
Ms Piyawan said CDS planned to expand its shopper base to attract younger consumers aged 18 to 30, as this group could be convinced easily by attractive promotion campaigns.
Monday, November 23, 2009
7ELEVEN จับมือซัพพลายเออร์ พัฒนาสินค้าย้ำอิ่มสะดวก-ติดโลโก้การันตีคุณภาพ

"เซเว่นฯ" จับมือซัพพลายเออร์พัฒนาสินค้า-ทุ่มโฆษณา ดึงคนเข้าร้าน ทยอยแปะโลโก้เซเว่นฯรับรองคุณภาพ-ความสะอาด ประเดิมที่อาหารกล่องก่อนขยายผลไปสู่ เบเกอรี่ ตั้งเป้าปีหน้าการันตี 100 เอสเคยู เผยหลังปรับเป็นร้านอิ่มสะดวก ข้าวกล่องวิ่งฉิวกวาดนิ่ม ๆ 5 ล้าน/เดือน
นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านเซเว่นอีเลฟเว่น เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เพื่อดึงลูกค้าให้เข้าร้านมากขึ้น บริษัทจะร่วมมือกับซัพพลายเออร์พัฒนาสินค้าร่วมกัน ขณะเดียวกันก็จะมีการสร้างการรับรู้กับผู้บริโภคว่าสินค้ามีวางจำหน่ายในเซเว่นฯผ่านสื่อทั้งโทรทัศน์และสิ่งพิมพ์ ซึ่งที่ผ่านมาได้เริ่มใช้กลยุทธ์นี้มาได้ระยะหนึ่งแล้ว และพบว่าช่วยเพิ่มยอดขายให้ซัพพลายเออร์ได้เป็นจำนวนมาก
ควบคู่กับแนวทางดังกล่าว เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมาบริษัทได้นำโลโก้ของเซเว่นฯมาใส่เพิ่มในบรรจุภัณฑ์ เพื่อรับประกันเรื่องคุณภาพและความสะอาดแก่ลูกค้า เบื้องต้นเป็นกลุ่มสินค้าพร้อมดื่มและพร้อมรับประทาน เช่น อาหารกล่องแช่แข็ง ต่อไปคือกลุ่มเบเกอรี่
"ปัจจุบันสินค้าที่มีโลโก้ของเซเว่นฯปิดอยู่บนแพ็กเกจมีประมาณ 20 เอสเคยู และปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มอีกไม่เกิน 100 เอสเคยู จากจำนวนสินค้าในร้านทั้งหมด 2,000-2,200 เอสเคยู"
ขณะเดียวกัน ยังมีแผนจะเพิ่มสินค้า โอนลี่แอต (only @) หรือสินค้าที่ผลิตขึ้นมาเพื่อวางจำหน่ายในร้านเซเว่นฯโดยเฉพาะ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีสินค้าเฟิรสต์ (first) หรือสินค้าที่ขายในเซเว่นฯเป็นที่แรก เช่น ไอศกรีมวอลล์ ชาเขียว มัทฉะ และเร็ว ๆ นี้กำลังจะเปิดตัวทิสชูของแบรนด์คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค ซึ่งสินค้าเฟิรสต์ในปีหน้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเครื่องดื่ม เพื่อให้สอดคล้องกับอากาศร้อนของเมืองไทย
นายยุทธศักดิ์ยังกล่าวด้วยว่า การสร้างคอนเซ็ปต์ร้านอิ่มสะดวกของเซเว่นฯ ขณะนี้ถือว่าผ่านช่วงแนะนำไปแล้ว และกำลังอยู่ในระยะเติบโต โดยเฉพาะอาหารกล่องมียอดขายเฉลี่ยเดือนละ 5 ล้านกล่อง แบ่งเป็นอาหารแช่แข็งพร้อมรับประทาน 4 ล้านกล่อง และอาหารแช่เย็นพร้อมรับประทาน 1 ล้านกล่อง ปัจจุบันมีสินค้าประเภทอาหาร 75% ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 80% ภายใน 3-5 ปี
สำหรับปีหน้า บริษัทตั้งงบฯการตลาดใกล้เคียงกับปีนี้ เนื่องจากเริ่มเห็นสัญญาณบวกทางเศรษฐกิจ วางแผนขยายสาขาอีก 450 แห่ง ซึ่ง 10 เดือนที่ผ่านมา เซเว่นฯเติบโตทุกเดือน เฉลี่ยเดือนละ 5-10% แม้แต่สาขาที่อยู่ในย่านโรงงานซึ่งยอดขายเคยตกไป 5-10% ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี ตอนนี้ก็เริ่มปรับตัวดีขึ้นติดลบอยู่เพียง 2% โดยผลดำเนินงานในไตรมาส 3 มีรายได้ 28,769 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.5% และมีผลกำไร 1,135 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.1% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน" นายยุทธศักดิ์กล่าว
Monday, October 26, 2009
ค้าปลีกเฟ้นโมเดลใหม่หนีกฎเหล็ก ปูพรมไซซ์เล็กเจาะชุมชน-แก้ปมผุดสาขาใหญ่ยาก

ค่ายค้าปลีกออกแรงดิ้นหนีกฎเหล็ก ทยอยเปิดฟอร์แมตใหม่ แก้ปมขอใบอนุญาตยาก-อำนวยความสะดวกลูกค้าปรับพฤติ กรรมชอบซื้อของใกล้บ้าน คาร์ฟูร์สุ่มชิมลางส่งโมเดล "ซิตี้" ทดลองตลาด ขณะที่ "เทสโก้ โลตัส" ประกาศปูพรมสาขาเอ็กซ์เพรส ส่วน "ท็อปส์" ไม่น้อยหน้า ลั่นเปิด ซูเปอร์ไซซ์เล็ก "เดลี่" อีก 40 แห่งทั่วประเทศ
คาร์ฟูร์เทสต์โมเดลใหม่ "ซิตี้"
แหล่งข่าวจากบริษัท เซ็นคาร์ จำกัด ผู้บริหารห้างคาร์ฟูร์ ให้ข้อมูลว่า เป็นการปรับตัวตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่นิยมซื้อสินค้าในร้านใกล้บ้าน สินค้าส่วนใหญ่เน้นกลุ่มอาหารโกรเซอรี่ สินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อตอบโจทย์กำลังซื้อลูกค้ากลุ่มระดับกลางและกลาง-บน เป็นโมเดลลอนช์ครั้งแรกที่ฝรั่งเศส เมื่อช่วงต้นปี ประสบความสำเร็จมาก เพราะฝรั่งเศสไม่มีกฎหมายจำกัดเหมือนในประเทศไทย สำหรับในเมืองไทยถือเป็นสาขานำร่องที่อยู่ระหว่างการทดลอง ส่วนการเปิดเพิ่มในอนาคต คงต้องรอดูผลตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายก่อน
จากการสำรวจคาร์ฟูร์ซิตี้ ซึ่งเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม พบว่าจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคคล้ายๆ ซูเปอร์มาร์เก็ต ทั่ว ๆ ไป สินค้าส่วนใหญ่เป็นแบรนด์หลัก ในตลาดและเฮาส์แบรนด์ คาร์ฟูร์ และไส้กรอก ขนมจีบ ซาลาเปา เบอร์เกอร์ มีมุมจำหน่ายซีดีเพลงและภาพยนตร์ รวมถึงมุมกาแฟให้ลูกค้านั่งพัก รวมทั้งมีบริการรับชำระค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากการเปิดโมเดลใหม่ดังกล่าว ที่ผ่านมาคาร์ฟูร์ได้ทยอยเปิดสาขาเพิ่ม เช่น สาขาเดอะมาร์เก็ต ที่บางโพ ที่มีขนาด 2,000 ตร.ม. และเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาเปิดสาขา เต็มรูปแบบที่รังสิต คลอง 4 เร็ว ๆ นี้จะเปิดเพิ่มอีกที่ชุมพร และยังมีกระแสข่าวว่าอยู่ระหว่างการหาพื้นที่จังหวัดตรังด้วย
เทสโก้ฯเร่งปูพรม "เอ็กซ์เพรส"
ดร.ดามพ์ สุคนธทรัพย์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด ผู้บริหารห้างเทสโก้ โลตัส ให้ข้อมูล "ประชา ชาติธุรกิจ" ว่า ร้านทุกขนาดเกิดขึ้นตามความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งสอดคล้องกับการขยายตัวของชุมชน ซึ่งปัจจุบันค้าปลีกในเมืองไทยมีประมาณ 10,000 แห่ง และมีแนวโน้มจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคตจะได้เห็นภาพของมินิมาร์ตและคอนวีเนี่ยนสโตร์ที่ตอบโจทย์รายได้และวิถีชีวิตของคนในชุมชนเพิ่มจำนวนมากขึ้น ขณะเดียวกันในแง่การแข่งขันก็จะมีความรุนแรงตามศักยภาพของแต่ละพื้นที่
สำหรับเทสโก้ โลตัสก็จะยังคงเดินหน้าขยายสาขาที่เป็นโมเดลโลตัส เอ็กซ์เพรส อย่างต่อเนื่อง ปีหน้าจะเปิดอีก 50-60 สาขา ใช้พื้นที่ต่อสาขา 300 ตารางเมตร ภายใต้คอนเซ็ปต์ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็ก จำหน่ายทั้งสินค้าอุปโภคบริโภคและอาหารสด
ขณะที่แหล่งข่าวจากเทสโก้ โลตัสอีกรายหนึ่งยอมรับว่า การขอใบอนุญาตการก่อสร้างสาขาขนาดใหญ่ในย่านชุมชน ประกอบกับโลเกชั่นดี ๆ หายากขึ้น ทำให้ ผู้ประกอบการทุกค่ายต่างต้องพยายามสร้างหรือโมเดลค้าปลีกรูปแบบใหม่ ๆ ขึ้นมารองรับ โดยเฉพาะไซซ์เล็กที่สามารถดำเนินการได้งานและสอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภค รวมทั้งการขยายตัวของชุมชนที่มีมากขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ผ่านมาเทสโก้ โลตัสเป็นค่ายหนึ่งที่มีโมเดลใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากสาขาในรูปแบบที่เป็นคอมมิวนิตี้มอลล์ อย่างแอทพาร์ค แอทการ์เด้นท์ และแอทโอเอซิส แล้วโมเดลที่น่าสนใจและได้รับการตอบรับจากผู้เช่าพื้นที่และลูกค้าก็คือพลัส ช็อปปิ้งมอลล์ ซึ่งเป็นการปรับสาขาเดิมที่มีอยู่แล้ว และเพิ่มพื้นที่เช่าสำหรับผู้ประกอบการรายเล็ก ปัจจุบันมี 2 สาขา ล่าสุดที่เพิ่งเปิดไปก็คือพลัส อมตะนคร และเร็วๆ นี้จะเปิดให้บริการสาขาเต็มรูปแบบที่จังหวัดสตูล ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เปิดโลตัส เอ็กซ์เพรสไปแล้วที่อำเภอละงู
"กม." บีบค้าปลีกผุดฟอร์แมตใหม่
นายธนภณ ตังคณานันท์ นายกสมาคมค้าปลีกไทย กล่าวในเรื่องนี้ว่า ปกติผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่จะมีสาขาหลาย ๆ ฟอร์แมต ไม่ว่าจะเป็นไฮเปอร์ มาร์เก็ตซูเปอร์มาร์เก็ต คอนวีเนี่ยนสโตร์ กึ่งคอนวีเนี่ยนสโตร์ ฯลฯ การที่ค้าปลีกรายใหญ่หันมาเปิดฟอร์แมตใหม่ ๆ มากขึ้น หลักๆ เป็นผลมาจากกฎระเบียบที่เข้มงวด ทำให้ผู้ประกอบการต้องนำฟอร์แมตใหม่ๆ มาให้บริการ ส่วนอีกประเด็นหนึ่งก็คือเป็นการปรับตัวเพื่อให้เข้าถึงและอำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภค
"ตอนนี้ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด การเปิดสาขาขนาดใหญ่ทำได้ยากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากเรื่องโซนนิ่ง การควบคุมอาคาร และยังมีเรื่องของ พ.ร.บ.ค้าปลีกฯ ที่กำลังจะมีออกมาอีก ซึ่งก็จะทำให้มีเงื่อนไขที่ยากมากขึ้นไปอีก"
ขณะที่นางสาวภัทรพร เพ็ญประพัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดใหญ่สายการตลาดและประชาสัมพันธ์ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ผู้บริหารท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต แสดงความเห็นว่า เหตุผลที่ค้าปลีกรายใหญ่หันมาเปิดโมเดลค้าปลีกขนาดเล็กมากขึ้น นอกจากกฎหมายโซนนิ่งที่ทำให้เปิดสาขาขนาดใหญ่ยากขึ้นแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งก็คือการมุ่งตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้าเรื่องการช็อปใกล้บ้าน
นางสาวภัทรพรยังอ้างถึงผลสำรวจของเอ.ซี.นีลเส็นที่ระบุว่า ที่ผ่านมาคอนวีเนี่ยนสโตร์มีการเติบโตสูงมาก รวมถึงร้านโชห่วย ขณะที่ทั่วประเทศมีไฮเปอร์มาร์เก็ตกว่า 250 สาขา ซูเปอร์มาร์เก็ต 200 สาขา คนที่อยากได้มาร์เก็ตแชร์ก็ต้องมองหาโอกาสใหม่ ๆ
"ท็อปส์ เดลี่ ป็นโมเดลขนาดเล็กที่สุดของท็อปส์ ตอนนี้ มี 17 สาขา จะเป?ดอีก 5 สาขา ภายในสิ้นปีนี้ และจะเปิดอีก 40 สาขา ในปีหน้า โมเดลนี้ลูกค้ามีความถี่ในการใช้บริการมากที่สุด เฉลี่ยอยู่ที่ 3-3.5 ครั้งต่อสัปดาห์ สิ่งที่เป็นจุดแข็งของท็อปส์ เดลี่ คือการพยายามเพิ่มสินค้ากลุ่มอาหารสด"
Monday, September 14, 2009
MK Suki Launches Small Size
Image via Wikipedia
เอ็มเคสุกี้เล็งเปิดสาขาไซซ์เล็ก
นายสมชาย หาญจิตต์เกษม รองกรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจสาขา บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ จำกัด กล่าวว่า ในปี 2553 บริษัทวางแผนเปิดสาขาใหม่ 20 สาขา ในรูปแบบร้านขนาดเล็ก 25-30 โต๊ะ ใช้งบประมาณร้านละ 7-8 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมของเอ็มเคปัจจุบัน รักษาการเติบโตไว้ได้ 8-10% จากการขยายสาขาใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ควบคู่แผนการสื่อสารการตลาดเชิงรุก เพื่อย้ำภาพลักษณ์ร้านอาหารของครอบครัวและกลุ่มเพื่อน รวมถึงกิจกรรมอื่นๆ และได้ใช้งบประมาณลงทุน 20 ล้านบาท สำหรับทำหนังโฆษณาชุดใหม่ตอกย้ำแนวคิดที่ว่า อยากให้คนไทยมีสุขภาพดี พร้อมทั้งเตรียมขยายธุรกิจร้านอาหารที่มีโอกาสและเหมาะกับความชำนาญของบริษัท ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
นายสมชายกล่าวต่อไปว่า สำหรับปีนี้เอ็มเคตั้งเป้าหมายยอดขายตลอดทั้งปีเติบโต 5% หรือประมาณ 8,800 ล้านบาท นอกจากนี้ล่าสุดในโอกาสครบ 300 สาขา เอ็มเคได้จัดแคมเปญภายใต้แนวคิด มีชีวิตชีวาขึ้นเสมอที่เอ็มเค ประกอบด้วยกิจกรรมอิ่มท้อง ลุ้นอิ่มทอง ให้ลูกค้าลุ้นรับของรางวัลทุกๆ เดือน
Monday, May 11, 2009
B-QUIK LAUNCHES NEW BRAND
ตลาดฟาสต์ฟิตมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทต่อปี ถือเป็นขุมทรัพย์บ่อใหญ่ที่บรรดานักลงทุนทั้งในและต่างประเทศจ้องกันตาเป็นมัน ใฝ่ฝันอยาก "ขย้ำ" ให้เต็มเขี้ยว ยิ่งในภาวะเศรษฐกิจทรุดตัวแบบนี้ ทางออกของคนใช้รถถ้าต้องการหนีศูนย์บริการที่แพงจนเกือบ เอื้อมไม่ถึง ก็ต้องเลือก "ศูนย์บริการประเภทนี้แหละ"
"ประชาชาติธุรกิจ" บุกสัมภาษณ์ "บุศรารัตน์ อัสสรัตนกุล" ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท บี-ควิก จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจศูนย์บริการรถยนต์มาตรฐานบี-ควิก แย้มถึงแผนปรับตัวและรุกตลาด ปีหน้าพร้อมทั้งกลยุทธ์บดคู่แข่งไว้อย่างน่าสนใจ
- ช่วงนี้ได้ข่าวว่าน่าจะมีอะไรแรงๆ
ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาและเตรียมแผนงาน ในการเตรียมขยายไลน์ธุรกิจศูนย์บริการรถยนต์แบรนด์ใหม่ออกสู่ตลาด โดยเบื้องต้นได้วางรูปแบบ ของการให้บริการของศูนย์แห่งใหม่ ให้มีรูปแบบการบริการคล้ายกับศูนย์บี-ควิกในปัจจุบัน แต่จะมุ่งเน้นในรูปแบบของ ความเป็นศูนย์ฟาสต์ฟิต ที่เน้นการให้บริการที่สะดวก รวดเร็วเพิ่มมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการ อย่างเป็นทางการภายในปี 2552 นี้แน่นอน
- จะกระทบบี-ควิกมากน้อยแค่ไหน
ก็อาจจะมีบ้าง แต่ลูกค้าจะแตกต่างกัน ในส่วนของบี-ควิกปีนี้มุ่งเน้นการเพิ่มจำนวนสาขาอีกอย่างน้อย 6-10 แห่ง ทั้งในเขตพื้นที่กรุงเทพฯและต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง โดยเบื้องต้นได้เตรียมงบประมาณสำหรับสาขาใหม่ไว้ทั้งสิ้น 100 ล้านบาท โดยแต่ละสาขาจะใช้เงินลงทุนประมาณ 15 ล้านบาท แบ่งเป็นงบประมาณสำหรับการก่อสร้างมูลค่า 10 ล้านบาทต่อสาขา และอีก 5 ล้านบาทจะเป็นในส่วนของการจัดซื้ออุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงสินค้า
- เน้นตลาดไหนเป็นพิเศษ
ปีนี้ตั้งใจจะขยายเพิ่มสาขาออกไปยังพื้นที่ในส่วนของต่างจังหวัดและหัวเมืองใหญ่ๆ เพิ่มขึ้น หลังจากช่วงที่ผ่านมา จะเน้นเปิดสาขาและสร้างแบรนด์ในพื้นที่กรุงเทพฯ จนได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีแล้ว ในส่วนของพื้นที่กรุงเทพฯนั้นเรามองว่า แม้จะมีจำนวนสาขามากกว่า 50 แห่งในกรุงเทพฯแล้ว แต่โอกาสการขยายตลาดและการเติบโตของพื้นที่ในกรุงเทพฯยังมีอยู่ค่อนข้างมาก ตามสภาพเมือง ที่ขยายออกไป
บวกกับยังมีพื้นที่บางแห่งที่ถือว่ายังเป็นจุดบอด และบี-ควิกยังไม่สามารถเข้าไปให้บริการได้อย่างครอบคลุมด้วย
แต่พื้นที่ในกรุงเทพฯ เราก็จะไม่หยุดการขยายสาขาอย่างแน่นอน เพียงแต่ในช่วง 1-2 ปีนี้คงจะได้เห็นเราออกไปทำตลาดต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น อย่างในเชียงใหม่เราก็มีการเปิดสาขาที่ 2 ไปแล้ว และกำลังจะมีการเปิดสาขาที่ 3 ในเร็วๆ นี้ด้วย ส่วนที่อื่นๆ ก็จะมีทั้งชลบุรี พัทยา และตามหัวเมืองใหญ่ๆ ก่อน ส่วนกรุงเทพฯเองก็เพิ่งเปิดสาขาพระราม 2 ด้วย
- ตั้งเป้ารายได้ไว้แค่ไหน
สำหรับเป้าหมายการดำเนินธุรกิจในปีนี้เราตั้งเป้าจะมีรายได้ 1,800 ล้านบาท หรือโตมากกว่า 20% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีรายได้อยู่ที่ 1,600 ล้านบาท สาเหตุที่ทำให้เชื่อว่ารายได้ของเราจะเป็นไปตาม เป้าหมายนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขยายเพิ่มสาขาใหม่ในปีนี้
- เศรษฐกิจแบบนี้ทำไมคาดหวังสูง
ยิ่งเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ในช่วงขาลง เห็นได้ชัดว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ชะลอการตัดสินใจซื้อรถยนต์คันใหม่ และหันมาให้ความสำคัญกับการบำรุงรักษารถยนต์ มากขึ้น บวกกับแบรนด์ของบี-ควิกได้รับความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคอยู่แล้ว ยิ่งทำให้เรามั่นใจ
- มองตลาดต่างประเทศไว้ด้วยหรือไม่
แผนการขยายธุรกิจออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียนั้น ขณะนี้เราได้ตัดสินใจชะลอแผนงานดังกล่าวออกไปก่อน เนื่องจากต้องการเน้นทำตลาดต่างจังหวัดให้ประสบความสำเร็จก่อน และคาดว่าภายในระยะเวลา 3 ปีนับจากนี้จะมีการขยายออกไปยังต่างประเทศอย่างแน่นอน
- กลยุทธ์การทำตลาด
(อมยิ้ม) เราได้เตรียมงบประมาณมูลค่า 100 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับการส่งเสริมการตลาด การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ รวมทั้งทำภาพยนตร์โฆษณาสำหรับปีนี้ด้วย สภาพการแข่งขันในธุรกิจศูนย์บริการรถยนต์มาตรฐานในปัจจุบันนั้น ถือว่ามี ค่อนข้างรุนแรงเพิ่มขึ้น แต่ก็ถือเป็นเรื่อง ดีต่อผู้บริโภค เนื่องจากจะได้รับการบริการที่มีคุณภาพเพิ่มมากขึ้น
และแม้ว่าปัจจุบันจะมีผู้ให้บริการค่อนข้างหลากหลายแบรนด์ แต่จะพบว่าเป็นศูนย์บริการทางเลือกจริงๆ ให้กับลูกค้านั้นมีค่อนข้างน้อยมาก เนื่องจากส่วนใหญ่จะเป็นศูนย์บริการที่เป็นช่องทางจัดจำหน่ายของ ผู้ผลิตยางที่ต้องการเพิ่มส่วนแบ่งตลาด ขาดซึ่งความหลากหลายของสินค้าไม่สามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างครบถ้วน
Monday, April 13, 2009
ภารกิจพิชิตกระเป๋า "คนรวย" "ห้างหรู" เปิดสูตรเร่งสร้างดีมานด์
Image via Wikipedia
ความอึมครึมของเศรษฐกิจและการเมืองตลอดช่วงที่ผ่านมากระทบภาคธุรกิจทุกส่วน
กลุ่มลูกค้าระดับตลาดกลางและล่าง ได้รับผลเต็มๆ จากเงินในกระเป๋าที่น้อยลงและลำบากมากขึ้น
ขณะที่กลุ่มลูกค้าระดับบนแม้ว่าเงินในกระเป๋าจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่ "มู้ด" และ "อารมณ์" ที่อยากออกมาจับจ่ายในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาก็ลดลงเรื่อยๆ
ดัชนีชี้วัดที่น่าจะเห็นภาพที่สุด คือ การจับจ่ายผ่านห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าที่เป็นศูนย์กลางของการจับจ่ายในแทบจะทุกๆ กลุ่มสินค้า พบว่าในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมากลุ่มลูกค้าระดับบนมียอดใช้จ่ายลดลงประมาณ 2-3% จากช่วงปกติที่จับจ่ายต่อคนต่อครั้งประมาณ 3 หมื่นบาท
เมื่อเทียบกับกลุ่มจะเป็นลูกค้าทั่วไปที่แม้ว่าปริมาณจะเป็นฐานใหญ่ของตลาดกว่า 80% แต่สัดส่วนการจับจ่ายมีเพียง 20% เท่านั้น ขณะเดียวกันในแง่การจับจ่ายมียอดเฉลี่ย 600-800 บาทต่อคนต่อครั้ง
การที่จะไปตั้งความหวังกับกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ในช่วงท่ามกลางภาวะวิกฤตจึงเป็นเรื่องที่ลำบากไม่น้อย
เมื่อวิกฤตเศรษฐกิจทำให้การใช้งบฯการตลาดที่มีอยู่อย่างจำกัดต้องมีประสิทธิภาพและเข้าถึงลูกค้าโดยตรงเพื่อเร่งยอดขายให้ได้มากที่สุด จึงไม่น่าแปลกใจที่ภาพความเคลื่อนไหวของห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า ต่างโฟกัสและเล็งจุดไปหาลูกค้ากระเป๋าหนัก หรือ "คนรวย" ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่พิเศษและสูตรมัดใจต่างๆ ที่สร้างความรู้สึกให้กับลูกค้าว่า แตกต่าง ไม่เหมือนใคร และมากกว่าคนอื่น
"ณัฐศมน วงศ์กิตติพัฒน์" ผู้จัดการใหญ่สายการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัดกล่าวว่า การกระตุ้นตลาดลูกค้าระดับบนต้องหาแคมเปญที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการจับจ่ายที่ลูกค้ากลุ่มนี้ชื่นชอบมากระตุ้น และกลยุทธ์ที่ใช้บัตรเครดิตและออนท็อปในรูปแบบ
ใหม่ๆ และแตกต่างกลายเป็นสิ่งที่ทาร์เก็ตเหล่านี้ชื่นชอบ แต่ขี้เกียจที่จะผ่อน 0%
การทำแคมเปญของกลุ่มเดอะมอลล์จึงจะต้องหากิจกรรมต่างๆ ร่วมกับคู่ค้าและบัตรเครดิตมากขึ้น โดยเฉพาะทาร์เก็ตสยามพารากอน และดิ เอ็มโพเรียม ที่ถือแพลตินั่ม คาร์ด และบัตรเครดิตแพลตินั่ม ซีเล็ค และนอกเหนือจากสินค้าและกลยุทธ์ทางการตลาดที่ต้องไม่เหมือนใครแล้ว บริการต่างๆก็ต้องมีความพิเศษด้วย
"สิ่งที่น่ากลัวมากที่สุดในการทำห้าง คือ คนรวยไม่ออกมาจับจ่ายทำให้เราต้องเร่งปลุกตลาด โดยแคมเปญสินค้าและกิจกรรมเซอร์วิสที่ให้ต้องมากกว่า"
ขณะที่ "สาธิมา ทานาเบ้" รองผู้จัดการทั่วไป บริษัท เกษร แลนด์ แอสเซส แมนเนจเม้นท์ จำกัด ย้ำว่า การทำการตลาดปีนี้ของเกษรฯมีการปรับเปลี่ยนเพื่อกระตุ้นมู้ดจับจ่ายของลูกค้าให้กลับมา โดยเน้นเรื่อง smart & sophisticated ด้วยการเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน พร้อมนำเสนอสินค้าบริการ ประสบการณ์ รวมถึงโปรโมชั่นจูงใจที่ตอบโจทย์ความต้องการได้ โดยปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาได้เปิดโซน Lady"s Closet สำหรับผู้หญิงที่ใส่ใจดูแลตัวเองและต้องการความเป็นส่วนตัว
"เกษรฯจะชูความแตกต่างในเรื่องความเอ็กซ์คลูซีฟ การดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ และให้ความเป็นส่วนตัวสูง สำหรับร้านค้าที่เกษรฯคัดมานั้นส่วนใหญ่จะเป็นแฟลกชิปสโตร์มีที่เกษรฯเพียงที่เดียว"
"สาธิมา" ให้ข้อมูลด้วยว่า เกษรฯแบ่งลูกค้าเป็น 4 กลุ่ม คือ 1.มิลเลนเนี่ยม 2.เศรษฐีเก่า 3.เศรษฐีใหม่ และ 4.พนักงานบริษัท ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลักของเกษรฯในกลุ่ม 1-3 ไม่ได้รับผลกระทบเรื่องเงินมากนัก แต่บรรยากาศที่แย่ๆ จากวิกฤตทำให้เกิดความรู้สึกหดหู่และไม่อยากจับจ่าย
ภารกิจที่จะควักเงินจากกระเป๋าคนรวย ต้องโฟกัสตลาดมากขึ้น ลูกค้ากลุ่ม 1-2 ต้องกระตุ้นเซอร์วิสที่พิเศษ เป็นเอ็กซ์คูลซีฟอีเวนต์หรือปาร์ตี้ที่เป็นไพรเวตสุดๆ ส่วนกลุ่มลูกค้า 3-4 จะชื่นชอบแคมเปญที่ให้มากกว่า หรือออนท็อปพิเศษร่วมกับบัตรเครดิต
ขณะที่ "ศิริเพ็ญ อินทุภูติ" ผู้บริหารสยามเซ็นเตอร์และสยามดิสคัฟเวอรี่ ได้เปิดกลยุทธ์ซีอาร์เอ็มเชิงลึกผ่านบัตรสมาชิกระดับพรีเมี่ยมวิซ การ์ด (VIZ Card : The Very Important Zone Card) เป็นการนำสินค้า บริการ ส่วนลด และโปรโมชั่นแบบเอ็กซ์คลูซีฟภายในสยามเซ็นเตอร์และสยามดิสคัฟเวอรี่ โดยร่วมมือกับร้านภายในศูนย์กว่า 300 ร้านค้า และพันธมิตรธุรกิจกว่า 100 แห่งเพื่อเข้าถึงไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกันออกไป
"วิซ การ์ด" จะกลายเป็นเครื่องมือในการสร้างแบรนด์ลอยัลตี้ รักษาฐานลูกค้าเดิมที่มีกำลังซื้อสูง รวมทั้งสร้างแรงจูงใจกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายและความถี่บ่อยขึ้น ด้วยแบ่งรูปแบบบัตรเป็น 3 ระดับ 1. white card สำหรับลูกค้ามียอดซื้อ 8,000-19,999 บาทต่อเดือน 2.titanium card จับจ่าย 20,000-99,999 บาทต่อเดือน และ 3.black card ยอดซื้อมากกว่า 1 แสนบาทต่อเดือน
ด้าน "ห้างเซ็นทรัล" นอกเหนือจากแคมเปญส่งเสริมการขายต่างๆ แล้ว ได้เปิดบริการ porter service ซึ่งเป็นบริการใหม่ล่าสุด โดยจัดพนักงานอำนวยความสะดวกในการช่วยถือถุงแก่ลูกค้าส่งถึงรถ ควบคู่กับการให้สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าด้วยจุดบริการที่จอดรถพิเศษให้แก่ลูกค้าที่ถือบัตร Central Card Platinum และบัตร V.I.P.
กลยุทธ์สร้างยอดขายในท่ามกลางวิกฤตกำลังซื้อของตลาดค้าปลีกจึงเข้มข้นและแปลกใหม่มากขึ้น
ทั้งนี้ เพื่อทลายกำแพงความเซ็งและน่าเบื่อ สร้างความน่าสนใจและมัดใจให้กลุ่มลูกค้ากระเป๋าหนักเงินหนาอยากออกจับจ่ายมากขึ้น