ตลาดฟาสต์ฟิตมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทต่อปี ถือเป็นขุมทรัพย์บ่อใหญ่ที่บรรดานักลงทุนทั้งในและต่างประเทศจ้องกันตาเป็นมัน ใฝ่ฝันอยาก "ขย้ำ" ให้เต็มเขี้ยว ยิ่งในภาวะเศรษฐกิจทรุดตัวแบบนี้ ทางออกของคนใช้รถถ้าต้องการหนีศูนย์บริการที่แพงจนเกือบ เอื้อมไม่ถึง ก็ต้องเลือก "ศูนย์บริการประเภทนี้แหละ"
"ประชาชาติธุรกิจ" บุกสัมภาษณ์ "บุศรารัตน์ อัสสรัตนกุล" ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท บี-ควิก จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจศูนย์บริการรถยนต์มาตรฐานบี-ควิก แย้มถึงแผนปรับตัวและรุกตลาด ปีหน้าพร้อมทั้งกลยุทธ์บดคู่แข่งไว้อย่างน่าสนใจ
- ช่วงนี้ได้ข่าวว่าน่าจะมีอะไรแรงๆ
ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาและเตรียมแผนงาน ในการเตรียมขยายไลน์ธุรกิจศูนย์บริการรถยนต์แบรนด์ใหม่ออกสู่ตลาด โดยเบื้องต้นได้วางรูปแบบ ของการให้บริการของศูนย์แห่งใหม่ ให้มีรูปแบบการบริการคล้ายกับศูนย์บี-ควิกในปัจจุบัน แต่จะมุ่งเน้นในรูปแบบของ ความเป็นศูนย์ฟาสต์ฟิต ที่เน้นการให้บริการที่สะดวก รวดเร็วเพิ่มมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการ อย่างเป็นทางการภายในปี 2552 นี้แน่นอน
- จะกระทบบี-ควิกมากน้อยแค่ไหน
ก็อาจจะมีบ้าง แต่ลูกค้าจะแตกต่างกัน ในส่วนของบี-ควิกปีนี้มุ่งเน้นการเพิ่มจำนวนสาขาอีกอย่างน้อย 6-10 แห่ง ทั้งในเขตพื้นที่กรุงเทพฯและต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง โดยเบื้องต้นได้เตรียมงบประมาณสำหรับสาขาใหม่ไว้ทั้งสิ้น 100 ล้านบาท โดยแต่ละสาขาจะใช้เงินลงทุนประมาณ 15 ล้านบาท แบ่งเป็นงบประมาณสำหรับการก่อสร้างมูลค่า 10 ล้านบาทต่อสาขา และอีก 5 ล้านบาทจะเป็นในส่วนของการจัดซื้ออุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงสินค้า
- เน้นตลาดไหนเป็นพิเศษ
ปีนี้ตั้งใจจะขยายเพิ่มสาขาออกไปยังพื้นที่ในส่วนของต่างจังหวัดและหัวเมืองใหญ่ๆ เพิ่มขึ้น หลังจากช่วงที่ผ่านมา จะเน้นเปิดสาขาและสร้างแบรนด์ในพื้นที่กรุงเทพฯ จนได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีแล้ว ในส่วนของพื้นที่กรุงเทพฯนั้นเรามองว่า แม้จะมีจำนวนสาขามากกว่า 50 แห่งในกรุงเทพฯแล้ว แต่โอกาสการขยายตลาดและการเติบโตของพื้นที่ในกรุงเทพฯยังมีอยู่ค่อนข้างมาก ตามสภาพเมือง ที่ขยายออกไป
บวกกับยังมีพื้นที่บางแห่งที่ถือว่ายังเป็นจุดบอด และบี-ควิกยังไม่สามารถเข้าไปให้บริการได้อย่างครอบคลุมด้วย
แต่พื้นที่ในกรุงเทพฯ เราก็จะไม่หยุดการขยายสาขาอย่างแน่นอน เพียงแต่ในช่วง 1-2 ปีนี้คงจะได้เห็นเราออกไปทำตลาดต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น อย่างในเชียงใหม่เราก็มีการเปิดสาขาที่ 2 ไปแล้ว และกำลังจะมีการเปิดสาขาที่ 3 ในเร็วๆ นี้ด้วย ส่วนที่อื่นๆ ก็จะมีทั้งชลบุรี พัทยา และตามหัวเมืองใหญ่ๆ ก่อน ส่วนกรุงเทพฯเองก็เพิ่งเปิดสาขาพระราม 2 ด้วย
- ตั้งเป้ารายได้ไว้แค่ไหน
สำหรับเป้าหมายการดำเนินธุรกิจในปีนี้เราตั้งเป้าจะมีรายได้ 1,800 ล้านบาท หรือโตมากกว่า 20% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีรายได้อยู่ที่ 1,600 ล้านบาท สาเหตุที่ทำให้เชื่อว่ารายได้ของเราจะเป็นไปตาม เป้าหมายนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขยายเพิ่มสาขาใหม่ในปีนี้
- เศรษฐกิจแบบนี้ทำไมคาดหวังสูง
ยิ่งเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ในช่วงขาลง เห็นได้ชัดว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ชะลอการตัดสินใจซื้อรถยนต์คันใหม่ และหันมาให้ความสำคัญกับการบำรุงรักษารถยนต์ มากขึ้น บวกกับแบรนด์ของบี-ควิกได้รับความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคอยู่แล้ว ยิ่งทำให้เรามั่นใจ
- มองตลาดต่างประเทศไว้ด้วยหรือไม่
แผนการขยายธุรกิจออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียนั้น ขณะนี้เราได้ตัดสินใจชะลอแผนงานดังกล่าวออกไปก่อน เนื่องจากต้องการเน้นทำตลาดต่างจังหวัดให้ประสบความสำเร็จก่อน และคาดว่าภายในระยะเวลา 3 ปีนับจากนี้จะมีการขยายออกไปยังต่างประเทศอย่างแน่นอน
- กลยุทธ์การทำตลาด
(อมยิ้ม) เราได้เตรียมงบประมาณมูลค่า 100 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับการส่งเสริมการตลาด การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ รวมทั้งทำภาพยนตร์โฆษณาสำหรับปีนี้ด้วย สภาพการแข่งขันในธุรกิจศูนย์บริการรถยนต์มาตรฐานในปัจจุบันนั้น ถือว่ามี ค่อนข้างรุนแรงเพิ่มขึ้น แต่ก็ถือเป็นเรื่อง ดีต่อผู้บริโภค เนื่องจากจะได้รับการบริการที่มีคุณภาพเพิ่มมากขึ้น
และแม้ว่าปัจจุบันจะมีผู้ให้บริการค่อนข้างหลากหลายแบรนด์ แต่จะพบว่าเป็นศูนย์บริการทางเลือกจริงๆ ให้กับลูกค้านั้นมีค่อนข้างน้อยมาก เนื่องจากส่วนใหญ่จะเป็นศูนย์บริการที่เป็นช่องทางจัดจำหน่ายของ ผู้ผลิตยางที่ต้องการเพิ่มส่วนแบ่งตลาด ขาดซึ่งความหลากหลายของสินค้าไม่สามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างครบถ้วน
No comments:
Post a Comment