Thursday, February 10, 2011
CARREFOUR, WALMART PRICING SCANDAL
Saturday, September 18, 2010
INDIA MAY DECIDE ON WAL-MART, CARREFOUR IN 2 - 3 MONTHS
Fresh Food - Developing markets are the primary engine of growth |
Thursday, December 24, 2009
Retail law called 'too late'
Image via Wikipedia
"It is too late. The prime locations both in Bangkok and upcountry have been already occupied by giant retailers," said Somchai Pornrattanacharoen, president of the Wholesale and Retail Association.
"The new law just helps delay the expansion of their new outlets. It does not order them to stop [further expansion]."
The cabinet yesterday agreed in principle with the latest draft of the retail and wholesale act submitted by Commerce Ministry - five years after small retailers first started lobbying for the law.
The Council of State will be asked to look into the details including the size of modern trade stores and the wording of the bill.
Scrutiny by the government's legal adviser would take about six months before the law is sent back for cabinet for approval and parliamentary debate, said Yanyong Phuangrach, the ministry's permanent secretary.
In the latest draft, a central committee chaired by the commerce minister would be empowered to approve the opening or expansion of modern trade stores. Provincial committees would still remain but their role would be only to offer comments in a capacity as a sub-committee.
Four types of businesses would require official permission: very large retailers with outlets larger than 3,000 sq m, large retailers sized from 1,000 to 2,999 sq m, medium-size retailers (300 to 999 sq m), and small retailers (120 to 299 sq m) such as chain convenience stores with high annual turnover.
The rules exclude fresh markets and outlets operated by the co-operatives.
Mr Yanyong said the law should be enacted as soon as possible as giant retailers have been rapidly expanding throughout the country.
Large companies such as Big C, Carrefour, Tesco Lotus and 7-Eleven now have about 9,900 outlets altogether, up from 8,900 last year. The 7-Eleven chain alone accounts for nearly 5,500.
He said opening and closing hours for large outlets and their distance from the central areas of municipalities could be determined later through ministerial regulations.
He also said a special fund to help small retailers affected by the expansion of big chains was not necessary at the moment but other support measures could be considered.
Thanapon Tangkananan, president of the Thai Retailers Association, said members would seek permission to share comments with the Council of State.
"We desperately want clarity on the guidelines for the approval process of the responsible committee. We don't want the approval decided by way of using judgment which is tough in practice," he said.
Thursday, December 17, 2009
พาณิชย์รื้อกม.ค้าปลีก ปูทาง "พรทิวา"คุมเบ็ดเสร็จ อำนาจอนุมัติตั้ง-ขยายสาขา

"ปลัดพาณิชย์" ยันร่างพรบ.ค้าปลีกฯ ลงตัวแล้ว เล็งเสนอ ครม.อังคารนี้ ระบุถ้า "การเมือง"ไม่เปลี่ยนขั้นคงประกาศบังคับใช้ได้ทันกลางปีหน้า เผยร่างฉบับใหม่ให้อำนาจรมว.พาณิชย์ เต็มที่ พร้อมทอนอำนาจ คณะอนุกรรมการในแต่ละจังหวัดลง โดยให้ให้สิทธิ์แค่การแสดงความเห็นเท่า นั้น ไม่มีอำนาจในการอนุมัติใดๆทั้งสิ้น
นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในวันอังคารที่ 15 ธันวาคม นี้ คาด ว่า กระทรวงพาณิช์ จะนำ ร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจค้าปลีก-ส่ง เข้าสู่วาระที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้ หลังจากก่อนหน้านี้มีการตีกลับเนื่องจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงเรื่องการจัดตั้ง คณะกรรมการกำกับนโยบาย และการกำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไขของสถานประกอบการ
"หลังจากได้นำประเด็นนี้ไปหารือร่วมกับ ประธานผู้แทนการค้าไทย ซึ่งล่าสุดได้มีข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว" นายยรรยง กล่าว
โดยก่อนหน้านี้ กระทรวงพาณิชย์ ได้เสนอให้มีการจัดตั้ง คณะอนุกรรมการทั่วประเทศ และสามารถออกใบอนุญาตประกอบการ หรือขยายสถานประกอบการได้ และร่างล่าสุดได้เปลี่ยนเป็นให้มีการจัดตั้ง คณะกรรมการชุดใหญ่ในส่วนกลางขึ้นมาแทน โดยมีนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน ที่จะสามารถตัดสินใจในการให้เปิด หรือขยายประกอบการเพียง คณะเดียว ส่วนคณะอนุกรรมการในแต่ละจังหวัดยังให้คงไว้ แต่ให้สิทธิ์แค่การแสดงความเห็นเท่านั้น ไม่มีอำนาจในการอนุมัติเรื่องใดๆ
ทั้งนี้ในการกำหนดการขออนุญาตตั้ง หรือขยายสาขา โดยมีการกำหนดขนาดออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ ร้านค้าขนาดใหญ่มาก ร้านค้าขนาดใหญ่ ร้านค้าขนาดกลาง และร้านค้าขนาดเล็ก รวมถึงระยะเวลาเปิด-ปิด ตรงส่วนนี้ยังคงใช้ร่างเดิม แต่จะเพิ่มในส่วนของร้านค้าในเครือข่าย ไม่ว่าจะออกมาในรูปแบบใด แต่ถ้าอยู่ในเครือข่ายของห้างโมเดิร์นเทรด ก็จะถูกควบคุมดูแลด้วย
"เชื่อว่าร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีกฯ จะสามารถออกมาใช้ได้ทัน ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอีก เพราะถือเป็นนโยบายสำคัญที่รัฐบาลได้ประกาศเอาไว้ โดยถ้าเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ในครั้งนี้ แล้วผ่านเรียบร้อย ก็จะส่งให้ คณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณาได้ทันในสิ้นปีนี้ รวมถึงมีตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมาดูแลก็จะสามารถเสร็จสิ้นได้ภายใน 3 เดือน และคาดว่าจะสามารถนำออกมาใช้ได้ทันภายในกลางปี 2553" นายยรรยง กล่าว
Monday, December 7, 2009
ชำแหละ 2 ร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง กระทรวงพาณิชย์ & ผู้แทนการค้า "ใคร" เจ๋งกว่ากัน

ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจ ค้าปลีกหรือค้าส่ง พ.ศ... ได้กลายเป็นร่างกฎหมายฉบับประวัติศาสตร์ที่ใช้เวลาในกระบวนการออกกฎหมายมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 ปีจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ผ่านรัฐบาลมาไม่ต่ำกว่า 4 ชุด และมีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อต่อไปอีก หลังจากที่ต้องผจญกับปัญหาการเมืองภายในรัฐบาลชุดต่าง ๆ และการ "ล็อบบี้" จากบรรดา "ยักษ์ใหญ่" ของผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ ส่งผลให้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ถูก "แช่แข็ง" มาเป็นระยะเวลายาวนาน
ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ได้นำเสนอ ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ พร้อม ๆ กับร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง ที่ถูกเสนอโดยผู้แทนการค้าไทย (TTR-นายเกียรติ สิทธีอมร) โดยคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ มีมติ "รับหลักการ" ซึ่งก็เหมือนกับการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ในหลาย ๆ รัฐบาลที่ผ่านมา
เนื่องจากมีเงื่อนไขว่ายังมีหลายประเด็นสำคัญที่มีความเห็นแตกต่างกันในร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับ ดังนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จึงให้กระทรวงพาณิชย์ กับ ผู้แทนการค้าไทย กลับไปหารือร่วมกันในประเด็นที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ อาทิ คณะกรรมการกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง, การกำหนดธุรกิจ ค้าปลีกค้าส่ง และการช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งแบบดั้งเดิม (ร้านโชห่วย) โดยนายอภิสิทธิ์ได้ตั้งความหวังไว้ว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จะมีความคืบหน้าในอีก 1 เดือนข้างหน้า
ความต่างของร่าง พ.ร.บ.
เริ่มตั้งแต่คณะกรรมการกลางกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ในร่างฉบับกระทรวงพาณิชย์เสนอให้มี คณะกรรมการ 2 ชุดด้วยกัน คือ คณะกรรมการกลางว่าด้วยการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง กับคณะกรรมการส่วนจังหวัดว่าด้วยการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง โดย คณะกรรมการกลางจะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ส่วนคณะกรรมการส่วนจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน ในขณะที่ร่างฉบับผู้แทนการค้าไทยเสนอให้มี คณะกรรมการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง มีปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน เพียงชุดเดียว
ดูเหมือนว่า ร่างฉบับผู้แทนการค้าไทย มีเจตนารมณ์ชัดเจนที่จะ "กีดกัน" การเข้ามามี "เอี่ยว" ของบรรดานักการเมืองและผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่ง ทั้งหลาย จนถึงกับระบุว่า ห้ามมิให้ กรรมการ เป็นข้าราชการการเมือง ผู้มีตำแหน่งในพรรคการเมือง ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง
อย่างไรก็ตาม การแบ่งคณะกรรมการกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่งออกเป็น 2 ชุด ในร่างฉบับกระทรวงพาณิชย์ มีนัยสำคัญอยู่ที่การให้อำนาจคณะกรรมการในส่วนจังหวัดสามารถพิจารณา "ออกใบอนุญาต" การประกอบธุรกิจและการขยายสาขาได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดโดยคณะกรรมการกลาง ในประเด็นนี้ ร่างฉบับ ผู้แทนการค้าไทยค่อนข้างเป็นห่วงในเรื่องของ "ผลประโยชน์" จึงเสนอให้มีคณะกรรมการตัดสินเพียงชุดเดียวในส่วนกลาง
การประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง
นับเป็น "หัวใจ" สำคัญของกฎหมายฉบับนี้ ทางร่างฉบับกระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดให้ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่ต้องขออนุญาตในการประกอบธุรกิจ จะต้องมี 1) ขนาดพื้นที่ของสถานที่ประกอบการขายสินค้าตั้งแต่ 1,000 ตารางเมตรขึ้นไป (ไม่รวมพื้นที่ใช้สอยอย่างอื่นที่ไม่ได้ใช้ในการขายสินค้า อาทิ พื้นที่ให้เช่า-คลังสินค้า-ที่จอดรถ) 2)การมียอดรายได้ หรือประมาณการรายได้ของทุกสาขาใน ปีภาษีที่ผ่านมา หรือ ประมาณรายได้ตามแผนธุรกิจในปีแรกรวมกันตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป และ 3)ธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ที่ผู้ประกอบการให้ใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา
ผลของ "นิยาม" ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งฉบับของกระทรวงพาณิชย์ข้างต้น ทำให้สามารถแบ่งประเภทธุรกิจค้าปลีกค้าส่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่มาก มีพื้นที่ตั้งแต่ 3,000 ตารางเมตรขึ้นไป, ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่มีพื้นที่ตั้งแต่ 2,000 ตารางเมตรขึ้นไป, ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งขนาดกลางมีพื้นที่ตั้งแต่ 300-999 ตารางเมตรขึ้นไป และธุรกิจค้าปลีกค้าส่งขนาดเล็กมีพื้นที่ ตั้งแต่ 120-299 ตารางเมตรขึ้นไป
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่เข้าเกณฑ์จะต้องขออนุญาตในการประกอบการตามหลักเกณฑ์ที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้กำหนดก็คือ ธุรกิจขนาดใหญ่มากกับธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ถ้าธุรกิจขนาดกลางกับขนาดเล็กแม้พื้นที่จะไม่เข้าเกณฑ์ แต่มียอดขายรวมกันในแต่ละสาขามากกว่า 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ก็ต้องขออนุญาตประกอบธุรกิจ
ในขณะที่ร่างฉบับผู้แทนการค้าไทย ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเกณฑ์พื้นที่-รายได้ และประเภทธุรกิจ แต่คำนึงถึงการอยู่ร่วมกัน ความเป็นธรรม ของผู้ประกอบการสมัยใหม่กับผู้ประกอบการโชห่วยดั้งเดิม ตามเกณฑ์ 2 ประการ คือ 1)สถานที่ตั้ง-ขนาดของพื้นที่-การกระจายตัวของ ผู้ประกอบการเดิม-ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการแข่งขันในพื้นที่ และความหนาแน่นของจำนวนประชากรในพื้นที่ 2)การกำหนดเวลาเปิด-ปิด เวลาทำการของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งในกรณีที่พื้นที่นั้น ๆ มีผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกค้าส่งอยู่อย่างหนาแน่น
นอกจากนี้ร่างฉบับของผู้แทนการค้าไทยยัง "ไปไกล" ถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง กับผู้ผลิต/จำหน่ายสินค้า รวมไปถึงการ เปิดทางให้ประชาชนในพื้นที่แสดงความคิดเห็นประกอบการพิจารณากรณีเกิดความ ขัดแย้งอย่างรุนแรงอันเป็นผลมาจากการประกอบธุรกิจด้วย ซึ่งร่างฉบับกระทรวงพาณิชย์ไม่มีในส่วนนี้
มีข้อน่าสังเกตว่า ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่งทั้ง 2 ฉบับนั้น ไม่ได้ลงไปในรายละเอียดถึงการกำหนดหลักเกณฑ์-วิธีการ-เงื่อนไขในการประกอบธุรกิจแต่ละประเภท รวมถึง หลักเกณฑ์ในการออกใบอนุญาต เพียงแต่เขียนไว้อย่างกว้าง ๆ ว่า ให้คำนึงถึงวัฒนธรรม/ประเพณี-สภาพสังคม-วิถีชุมชน-สิ่งแวดล้อม-อัตราความหนาแน่นของประชากร-การทำประชาพิจารณ์ เพื่อเปิดทางให้ออกเป็น "กฎกระทรวง" ต่อไป
Sunday, December 6, 2009
Retail law versions must be reconciled, say ministers
Image by Keng Susumpow via Flickr
Economic ministers yesterday approved the draft retail and wholesale act in principle, but told the Commerce Ministry and related parties to patch up certain differences.
The meeting chaired by Prime Minister Abhisit Vejjajiva directed the ministry to work with the Thailand Trade Representative Office (TTR) and the Council of State to sort out differences between the draft prepared by the ministry and another one by the TTR and merge them into one proposal before submitting it for parliamentary debate.
Key differences between the two drafts involve a proposal to set up a committee to oversee and approve new retail outlet expansion, operating hours of so-called modern trade stores, and the establishment of a development fund to help small retailers.
The Commerce Ministry draft calls for two committees - central and provincial - while the TTR proposed to set up only a single central committee chaired by the permanent secretary for Commerce.
Proposed retail developments in Bangkok would need permission from a 15-member committee chaired by the commerce minister, while developments in the provinces would require approval from a 13-member committee chaired by the provincial governor, according to the Commerce Ministry draft, which passed through nine public hearings.
The retail law has been in the works for nearly five years. Small businesses maintain that better measures are needed to regulate the expansion of large chains, which threaten the livelihoods of thousands of mainly family-run shops.
They maintain that the existing urban zoning regulations overseen by the Interior Ministry's department of Town and Country Planning do not go far enough.
Putthipong Punnakan, a vice-minister to the Prime Minister's Office, said the Commerce Ministry was directed to address the differences and submit the proposal to economic ministers again next week.
Ministers yesterday also discussed the possible impact of the Dubai debt crisis and Vietnam's dong devaluation on Thailand.
Mr Putthipong said ministers saw the Dubai debt scare as unlikely to affect Thai economy, but admitted the devaluation of the Vietnamese currency would slightly affect Thai exports, particularly textiles, footwear, seafood, canned and finished food products and farm products such as rice and rubber.
According to report prepared by the National Economic and Social Development Board, there are few Thai investments in the troubled business hub of the United Arab Emirates.
Thai investments in Dubai are worth only about US$140 million, according to the report.
Thursday, November 19, 2009
Retail act faces more revisions
Image by World Economic Forum via Flickr
Prime Minister Abhisit Vejjajiva told the Commerce Ministry and the TTR to jointly consider the two drafts and merge them into one proposal.
Kiat Sittheeamorn, the TTR chief, is expected to chair a working panel to speed up the revisions of the act, which has been under consideration for more than five years.
According to the Commerce Ministry draft finalised after nine public hearings, operators of modern retail stores would be required to gain official permission before they could build new outlets.
The draft retail law would cover stores larger than 120 square metres. It would also establish committees, drawn from the public and private sectors, to vet new developments
The government and retailers have agreed that four types of businesses should require official permission to be developed. They are very large retailers with outlets larger than 3,000 sq m, large retailers sized from 1,000 to 2,999 sq m, medium-size retailers of 300 to 999 sq m, and small retailers sized from 120 to 299 sq m.
Proposed retail developments in Bangkok would need permission from a 15-member committee chaired by the commerce minister. Developments upcountry would require approval from a 13-member committee chaired by the provincial governor.
There are also limits on how close to municipal centres new retail developments can be, ranging from one kilometre for small retailers and three km for medium-size retailers to five km for large and 10 km for very large ones.
The committees will also decide on the retailers' operating hours.
Thanapon Tangkananan, president of the Thai Retailers Association, said the Commerce Ministry draft was still not clear on the details of how to help small-scale retailers, who had lobbied for the law in the first place.
He has not seen the TTR draft.
Somchai Pornratanacharoen, president of the Thailand Wholesale and Retail Association, said the government should push the legislation through as the Commerce Ministry draft had passed through nine public hearings.
"If the retail law is not implemented within one or two years, it will be too late, as over the next four to five years large retailers will dominate the whole market," he said.
A few large retailers now control 60% of the 1.4-trillion-baht market.
Mr Somchai also questioned whether the legislation could even be passed by the current fragile coalition government.
Wednesday, November 11, 2009
New law to curb modern trade outlets
Image by paulancheta via Flickr
The draft retail law will cover stores larger than 120 square metres. It will also establish committees, drawn from the public and private sectors, to vet new developments.
After feedback from nine public hearings nationwide, the government and retailers have agreed that four types of businesses should require official permission to be developed. They are very large retailers with outlets larger than 3,000 sq m; large retailers sized 1,000 to 2,999 sq m; medium-size retailers of 300 to 999 sq m; and small retailers sized 120 to 299 sq m.
Proposed retail developments in Bangkok will need permission from a 15-member committee chaired by the commerce minister.
Developments located upcountry will seek approval from a 13-member committee chaired by the provincial governor.
There are also limits on how close to municipal areas new retail developments can be, ranging from 1km for small retailers and 3km for medium-size to 5km for large and 10km for very large retailers.
The committees will also decide on the retailers' operating hours.
Recent figures show there are 9,921 modern retail stores nationwide, including 636 branches of Tesco Lotus, 77 Big C, 43 Makro, 38 Carrefour and 5,100 7-Eleven.
Somchai Pornratanacharoen, president of Thailand's Wholesale and Retail Association said the government should be brave and push the legislation through.
"If the retail law is not implemented within two years it will be useless because the large retailers would dominate the whole market the next four to five years," Mr Somchai said.
A few large retailers now control about 60% of the 1.4 trillion baht retail market.
Tuesday, November 10, 2009
DTRA ชงโปรเจ็กต์ 'โชวห่วยเข้มแข็ง'
Image by UnholyKnight via Flickr
สมาคมฯค้าปลีกทุนไทย โชว์ผลงานชงโครงการ "โชวห่วยเข้มแข็ง" เสนอรัฐ หลังพ.ร.บ. ค้าปลีกฯ ส่อเค้าเลื่อนยาว เผยเป้าหมายสร้างเครือข่าย รวมพลังสั่งซื้อสินค้าต้นทุนต่ำ แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ แข่งค้าปลีกต่างชาติที่แพร่สาขา ค้าขายไม่เป็นธรรม พร้อมเปิดช่องดึงยักษ์ค้าปลีก ซัพพลายเออร์ร่วมเป็นสมาชิก
นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว นายกสมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทย หรือ DTRA และรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น เปิดเผยว่า หลังเปิดตัวสมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทยหรือดีทีอาร์เอ อย่างเป็นทางการเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สมาคมพร้อมเดินหน้าผลักดันโครงการเพื่อสมาชิกทันที โดยล่าสุดสมาคม เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นในการจัดประชาพิจารณ์ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง พ.ศ. ... ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ จัดขึ้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 5 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยสาระสำคัญของการนำเสนอเป็นการผลักดันให้รัฐบาลเห็นความสำคัญของผู้ประกอบการค้าปลีกที่เป็นทุนไทย พร้อมเสนอแนะให้เกิดโครงการโชวห่วยเข้มแข็ง ตามนโยบายภาครัฐในการจัดทำโครงการไทยเข้มแข็ง
ทั้งนี้พบว่าแม้ปัจจุบันจะมีผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงพาณิชย์กว่า 4 แสนราย และมีการขยายตัวต่อเนื่อง แต่ร้านโชวห่วยจำนวนมากยังไม่เข้มแข็ง ไม่สามารถปรับตัวรับการแข่งขันกับผู้ประกอบการค้าปลีกที่เป็นทุนต่างชาติ ที่ขยายสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ และทำการค้าไม่เป็นธรรม ดังนั้นการจะสร้างให้โชวห่วยเข้มแข็งสามารถกระทำได้หลายวิธี ซึ่งสำคัญจะต้องมีการรวมตัวกันสร้างเครือข่าย เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
"การรวมกลุ่มกันครั้งนี้7ELEVEN ในฐานะพี่ใหญ่ จะเข้ามามีบทบาทเป็นผู้ผลักดัน เพื่อสร้างให้เครือข่ายเข้มแข็ง พร้อมสนับสนุนให้เกิดการฝึกอบรม แลกเปลี่ยนความรู้ การแก้ไขปัญหาด้านการเงิน การรวมกันสั่งซื้อแบบสหกรณ์เพื่อให้ได้ต้นทุนต่ำ เป็นต้น" นายสุวิทย์ กล่าวว่าธุรกิจค้าปลีก ต้องมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การจะสร้างความแข็งแกร่งให้กับค้าปลีกได้ ต้องเกิดจากความร่วมมือกัน แม้ที่ผ่านมาในอดีตจะมีสมาคมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลายสมาคม แต่ยังไม่มีสมาคมใดที่เป็นสมาคมของนักลงทุนไทยแท้จริง และรับเฉพาะสมาชิกที่เป็นนักลงทุนของคนไทย
สำหรับแผนการในอนาคตนั้น การทำงานของสมาคมจะมุ่งพัฒนาความรู้ ความสามารถ โดยเฉพาะค้าปลีกรูปแบบใหม่ๆ การสร้างนวัตกรรมเชิงบริการ นวัตกรรมสินค้า ให้ผู้ประกอบการทุนไทยที่เป็นรายย่อย ได้มีความรู้ ทักษะแบบรอบด้าน เพื่อให้แข่งขันกับค้าปลีกจากต่างประเทศได้
ทั้งนี้สมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทย หรือ DTRA เริ่มดำเนินการก่อตั้งขึ้นเมื่อ 7 เดือนก่อน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมธุรกิจของผู้ประกอบการค้าปลีกทุนไทย ในการแก้ไขอุปสรรคต่างๆ ทั้งการเจรจาทำความตกลงกับบุคคลภายนอก การส่งเสริมการผลิตเพื่อให้มีสินค้าเพียงพอกับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการค้าปลีก เป็นต้น
ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 20 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นสมาชิกสามัญ และในอนาคตจะเชิญองค์กรธุรกิจค้าปลีกทุนไทยที่มีความแข็งแกร่ง เข้าร่วมเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ พร้อมเปิดรับซัพพลายเออร์ทั่วไป เข้าร่วมเป็นสมาชิกวิสามัญ ซึ่งจะทำให้สมาคม มีความเข้มแข็งมากขึ้น
พันธกิจ...รวมตัวค้าปลีกไทย จุดยืน "เชนสโตร์-โชห่วย" ผลประโยชน์ใคร ?
Image via Wikipedia
และแล้ว "CP 7ELEVEN" ได้กลายเป็นตัวแปรใหม่ที่สร้างความสงสัยอย่างกว้างขวางให้เกิดขึ้นกับแวดวงค้าปลีกไทย
พลันที่ "ซี.พี.ออลล์" นำทีมผู้ประกอบการค้าปลีกไทย อาทิ ตั้งฮั่วเส็ง-HOMEPRO-VILLA MARKET-ช้อยส์ มินิสโตร์ (กลุ่มตันตราภัณฑ์เชียงใหม่ ผู้ดำเนินธุรกิจเซเว่น อีเลฟเว่นในเชียงใหม่ ลำพูน และแม่ฮ่องสอน รวม 160 สาขา) และอื่น ๆ รวม 20 ราย ตั้งโต๊ะแถลงข่าวตั้ง "สมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทย" (The Development of Thai Capital Retailers Association หรือ DTRA) ขึ้นมา ในช่วงบ่ายของวันพุธที่ 4 พฤศจิกายนนี้ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
เป็นการแยกวงจากที่เคยสังกัดอยู่ในสมาคมผู้ค้าปลีกไทย
เช้าวันเดียวกับที่มีแถลงข่าวเปิดตัวนั้น สมาคมผู้ค้าปลีกไทยที่ปัจจุบัน "ธนภณ ตังคณานันท์" ผู้บริหารจากเครือเซ็นทรัล สวมหมวกเป็นประธานต่อเนื่องสมัยที่ 2 ได้เรียกประชุมสมาชิก แม้จะออกตัวว่ายังไม่ทราบแน่ชัดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของสมาชิกที่แตกตัวออกไปตั้งสมาคมใหม่
"ธนภณ" สงวนท่าทีกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ ทั้งยังมองว่าการรวมกลุ่มกันเป็นเรื่องที่ดีแต่ทุกอย่างย่อมขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมายของการทำงาน
ขณะที่ "สุวิทย์ กิ่งแก้ว" รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) นายกสมาคม DTRA สด ๆ ร้อน ๆ ระบุว่า ยังคงเป็นสมาชิกของสมาคมผู้ค้าปลีกอยู่ แต่อาจต้องลดบทบาทและการทำงานลงเพื่อมาดูแลสมาคมใหม่นี้อย่างเต็มตัวและเต็มเวลา
สุวิทย์แจกแจงว่า การทำงานหลัก ๆ สมาคมจะเข้ามาดูแลให้ความช่วยเหลือ อบรมความรู้และเทคนิคการบริหารร้านรูปแบบต่าง ๆ แก่สมาชิกกลุ่มค้าปลีก สายพันธุ์ไทยด้วยกันเอง โดยเฉพาะค้าปลีกรายย่อย (โชห่วย) กว่า 4 แสนรายทั่วประเทศที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อต่อสู้และรับมือการแข่งขัน
ทั้งยังให้เหตุผลว่า ที่ผ่านมายังไม่มีการรวมกลุ่มระหว่างผู้ประกอบการค้าปลีกที่เป็น "ทุนของคนไทย" อย่างชัดเจน ขณะที่ผู้ประกอบการเองก็ต้องการให้มีสมาคมที่เป็นศูนย์กลางในการช่วยเหลือด้านการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการค้าปลีกทุนไทยโดยเฉพาะ และได้กำหนดคุณสมบัติของสมาชิกว่าจะต้องเป็นผู้ประกอบการค้าปลีกที่มีคนไทยเป็น "ผู้ถือหุ้นใหญ่" เท่านั้น
เทียบกับสมาคมผู้ค้าปลีกไทยที่ไม่ได้มีข้อกำหนดนี้
จะเป็นทุนไทย หรือร่วมทุนไทย-เทศ หรือทุนต่างประเทศล้วน ๆ สามารถเป็นสมาชิกสมาคมผู้ค้าปลีกได้ทั้งสิ้น
เมื่อมีข้อกำหนดว่าต้องเป็น "ทุนไทย" อย่างชัดแจ้ง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่ย่อมมีคำถามตามมาว่า การก่อตั้งสมาคมใหม่นี้เกี่ยวข้องกับกระแส "ต่อต้านค้าปลีกต่างชาติ" ใช่หรือไม่
คำถามนี้แจ่มชัดขึ้นอีกระดับหนึ่ง เมื่อ "สุวิทย์ กิ่งแก้ว" ยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่า ภารกิจแรกของ DTRA คือจะเข้าร่วมนำร่องประชาพิจารณ์ที่จังหวัดสงขลา ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากวันแถงข่าวเปิดตัวแค่วันเดียว เพื่อแสดงบทบาทและสะท้อนความต้องการที่เป็นกลุ่มก้อนในฐานะค้าปลีกไทย
หัวขบวนใหม่ผู้นี้ยังมองว่า ร่าง พ.ร.บ. ค้าปลีกฯดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจนในหลาย ๆ ประเด็น และเนื้อหาส่วนใหญ่ให้น้ำหนักไปที่กลุ่มโมเดิร์นเทรด แต่ไม่มีมาตรการที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการค้าปลีกรายเล็กที่เป็นรูปธรรมแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ด้านหนึ่งต้องยอมรับว่า ร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีกฯที่กำลังแก้ไขกันอยู่นี้ ไม่ได้มีการแยกระหว่าง "ทุนไทย" และ "ทุนต่างประเทศ"
หากแยกระหว่าง "ค้าปลีกสมัยใหม่-โมเดิร์นเทรด" กับ "ค้าปลีกดั้งเดิม-โชห่วย" เป็นประเด็นหลัก
เมื่อดูจากร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ย่อมทำให้ "7ELEVEN" ถูกเหมารวมอยู่ในซีก คอนวีเนี่ยนสโตร์ เฉกเช่นเดียวกับ "TESCO LOTUS EXPRESS"
เป็นยักษ์ใหญ่ที่รุมรังแกโชห่วย
ขณะที่ซูเปอร์มาร์เก็ตสัญชาติไทยอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นFOODLAND GET-IT SUPERMARKETของตั้งฮั่วเส็ง หรือVILLA MARKET ย่อมไม่ต่างอะไรจาก "ตลาดโลตัส"
ย้อนกลับไปที่ประเด็น "ทุนไทย" "ทุนต่างประเทศ" ยังเป็นข้อสังเกตว่า ในกรณีตั้งฮั่วเส็ง-โฮมโปร-วิลล่า มาร์เก็ท คงไม่น่ามีปัญหาสำหรับการนิยามตัวเองว่าเป็นค้าปลีกสายพันธุ์ไทย แต่สำหรับสถานภาพ ของคอนวีเนี่ยนสโตร์ "เซเว่นอีเลฟเว่น" ที่ยังคงต้องเสียค่าไลเซนส์ให้กับต่างชาติ อยู่นั้นจะอยู่ในนิยามจุดยืนสายพันธุ์ไทยหรือไม่
ขณะเดียวกันถ้าจะเปรียบ "CP ALL" กับ "BIG C" ก็ไม่น่าจะแตกต่างกัน เพราะอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯทั้งคู่ มีผู้ถือหุ้นทั้งไทย-เทศ ผสมปนเปกัน
ประกอบกับเมื่อไล่ย้อนดูบทบาทของ "ซี.พี.ออลล์" เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้มีการส่งตัวแทนไปนั่งเป็นประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทยมาแล้ว ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกสายตาย่อมเพ่งมองไปที่การเล่นบท "หัวหอก" ของ ซี.พี.ออลล์ ด้วยแววตาที่สงสัยยิ่ง
กระนั้นก็ตาม หาก "CP ALL" สามารถพิสูจน์ตัวเองว่า ทำเพื่อโชห่วย จริง ๆ ย่อมเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
ผลจากการกระทำย่อมเป็นตัวชี้เจตนาเป็นอื่นไปไม่ได้
Thursday, November 5, 2009
7ELEVEN นำทีมค้าปลีกไทยแยกวง ดึง"ตั้งฮั่วเส็ง-โฮมโปร-ช้อยส์มินิสโตร์ "ตั้งสมาคมใหม่
Image by patrikmloeff via Flickr
จับตา "เซเว่นอีเลฟเว่น" หัวขบวนผนึกค้าปลีกพันธุ์ไทย "ตั้งฮั่วเส็ง-โฮมโปร-ช้อยส์มินิสโตร์" ตั้งสมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทย คาดดัน "สุวิทย์ กิ่งแก้ว" นั่งแท่นนายกฯ ด้านสมาคมผู้ค้าปลีกไทยยังนิ่ง
เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2552 ที่ผ่านมา บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านเซเว่นอีเลฟเว่นได้ส่งจดหมายไปยังหนังสือพิมพ์ฉบับต่าง ๆ เพื่อแถลงข่าวการจัดตั้งสมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทย (DTRA) โดยกลุ่มผู้ร่วมก่อตั้ง สมาคมในเบื้องต้นประกอบด้วย เซเว่นอีเลฟเว่น, ห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง, โฮมโปร และช้อยส์มินิสโตร์ (กลุ่มตันตราภัณฑ์เชียงใหม่ ผู้ดำเนินธุรกิจเซเว่นอีเลฟเว่นในเชียงใหม่)
แหล่งข่าวจากบริษัทที่เข้าร่วมจัดตั้งสมาคมรายหนึ่งกล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การตั้งสมาคมขึ้นมาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันระหว่างผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกที่เป็นของคนไทย เนื่องจากสมาคมกำหนดคุณสมบัติของสมาชิกว่า จะต้องเป็นผู้ประกอบการค้าปลีกที่มีคนไทยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เท่านั้น
"การหารือในการจัดตั้งสมาคมขึ้นมาใหม่นี้มีบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้พยายามผลักดันและดำเนินการ
ส่วนการวางกรอบนโยบายและบทบาทสมาคมที่จะเห็นเป็นรูปธรรมนั้นคงต้องรอการหารือกันในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง"
อย่างไรก็ตามสมาชิกหลักรายอื่น ๆ อาทิ เซ็นทรัล เดอะมอลล์ เทสโก้ โลตัส บิ๊กซี คาร์ฟูร์ แม็คโคร แฟมิลี่มาร์ท ฯลฯ ยังเป็นสมาชิกสมาคมผู้ค้าปลีกไทยอยู่เช่นเดิม
แหล่งข่าวรายนี้ยังกล่าวด้วยว่า คาดว่าในช่วงแรกนี้นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ซีพี ออลล์ จะได้รับการโหวตตำแหน่งนายกสมาคมเป็นวาระแรก
ก่อนหน้านี้นายสุวิทย์รับตำแหน่งรองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย แต่เพิ่งลาออกไปเมื่อไม่นานมานี้เพื่อรับตำแหน่งในองค์กรธุรกิจแห่งใหม่
ขณะที่นายธนภณ ตังคณานันท์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย แสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า การรวมกลุ่มกันเป็นเรื่องที่ดี แต่ทุกอย่างย่อมขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมายของการทำงาน ตอนนี้ (3 พฤศจิกายน) คงยากที่จะตอบ และคงต้องขอดูรายละเอียดและแนวทางการทำงานของสมาคมนี้ก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแถลงข่าวประกาศจัดตั้งสมาคมดังกล่าวเป็นช่วงที่กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างการเร่งทำประชาพิจารณ์ร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีก ขณะเดียวกันก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากหลาย ๆ ฝ่ายว่า ร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีกฯดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจนในหลาย ๆ ประเด็น และเนื้อหาส่วนใหญ่มุ่งไปที่การควบคุมโมเดิร์นเทรด แต่ไม่มีมาตรการที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านโชห่วยที่เป็นรูปธรรม และการควบคุมการขยายตัวของโมเดิร์นเทรดอาจจะทำให้ผู้บริโภคต้องซื้อสินค้าในราคาแพงขึ้น
นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การตั้งสมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทยที่มีบริษัท ซีพี ออลล์ ผลักดันในครั้งนี้อาจเกิดจากปัญหาโครงสร้างของสมาคมผู้ค้าปลีกไทยที่มีจำนวนสมาชิกที่หลากหลาย มีทั้งที่เป็นสัญชาติไทยและต่างชาติ ดังนั้นการจะมีมติหรือดำเนินการเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้มีความเป็นเอกภาพจึงเป็นเรื่องที่ยากและไม่ทันกับสถานการณ์
Monday, October 26, 2009
ค้าปลีกเฟ้นโมเดลใหม่หนีกฎเหล็ก ปูพรมไซซ์เล็กเจาะชุมชน-แก้ปมผุดสาขาใหญ่ยาก

ค่ายค้าปลีกออกแรงดิ้นหนีกฎเหล็ก ทยอยเปิดฟอร์แมตใหม่ แก้ปมขอใบอนุญาตยาก-อำนวยความสะดวกลูกค้าปรับพฤติ กรรมชอบซื้อของใกล้บ้าน คาร์ฟูร์สุ่มชิมลางส่งโมเดล "ซิตี้" ทดลองตลาด ขณะที่ "เทสโก้ โลตัส" ประกาศปูพรมสาขาเอ็กซ์เพรส ส่วน "ท็อปส์" ไม่น้อยหน้า ลั่นเปิด ซูเปอร์ไซซ์เล็ก "เดลี่" อีก 40 แห่งทั่วประเทศ
คาร์ฟูร์เทสต์โมเดลใหม่ "ซิตี้"
แหล่งข่าวจากบริษัท เซ็นคาร์ จำกัด ผู้บริหารห้างคาร์ฟูร์ ให้ข้อมูลว่า เป็นการปรับตัวตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่นิยมซื้อสินค้าในร้านใกล้บ้าน สินค้าส่วนใหญ่เน้นกลุ่มอาหารโกรเซอรี่ สินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อตอบโจทย์กำลังซื้อลูกค้ากลุ่มระดับกลางและกลาง-บน เป็นโมเดลลอนช์ครั้งแรกที่ฝรั่งเศส เมื่อช่วงต้นปี ประสบความสำเร็จมาก เพราะฝรั่งเศสไม่มีกฎหมายจำกัดเหมือนในประเทศไทย สำหรับในเมืองไทยถือเป็นสาขานำร่องที่อยู่ระหว่างการทดลอง ส่วนการเปิดเพิ่มในอนาคต คงต้องรอดูผลตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายก่อน
จากการสำรวจคาร์ฟูร์ซิตี้ ซึ่งเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม พบว่าจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคคล้ายๆ ซูเปอร์มาร์เก็ต ทั่ว ๆ ไป สินค้าส่วนใหญ่เป็นแบรนด์หลัก ในตลาดและเฮาส์แบรนด์ คาร์ฟูร์ และไส้กรอก ขนมจีบ ซาลาเปา เบอร์เกอร์ มีมุมจำหน่ายซีดีเพลงและภาพยนตร์ รวมถึงมุมกาแฟให้ลูกค้านั่งพัก รวมทั้งมีบริการรับชำระค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากการเปิดโมเดลใหม่ดังกล่าว ที่ผ่านมาคาร์ฟูร์ได้ทยอยเปิดสาขาเพิ่ม เช่น สาขาเดอะมาร์เก็ต ที่บางโพ ที่มีขนาด 2,000 ตร.ม. และเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาเปิดสาขา เต็มรูปแบบที่รังสิต คลอง 4 เร็ว ๆ นี้จะเปิดเพิ่มอีกที่ชุมพร และยังมีกระแสข่าวว่าอยู่ระหว่างการหาพื้นที่จังหวัดตรังด้วย
เทสโก้ฯเร่งปูพรม "เอ็กซ์เพรส"
ดร.ดามพ์ สุคนธทรัพย์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด ผู้บริหารห้างเทสโก้ โลตัส ให้ข้อมูล "ประชา ชาติธุรกิจ" ว่า ร้านทุกขนาดเกิดขึ้นตามความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งสอดคล้องกับการขยายตัวของชุมชน ซึ่งปัจจุบันค้าปลีกในเมืองไทยมีประมาณ 10,000 แห่ง และมีแนวโน้มจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคตจะได้เห็นภาพของมินิมาร์ตและคอนวีเนี่ยนสโตร์ที่ตอบโจทย์รายได้และวิถีชีวิตของคนในชุมชนเพิ่มจำนวนมากขึ้น ขณะเดียวกันในแง่การแข่งขันก็จะมีความรุนแรงตามศักยภาพของแต่ละพื้นที่
สำหรับเทสโก้ โลตัสก็จะยังคงเดินหน้าขยายสาขาที่เป็นโมเดลโลตัส เอ็กซ์เพรส อย่างต่อเนื่อง ปีหน้าจะเปิดอีก 50-60 สาขา ใช้พื้นที่ต่อสาขา 300 ตารางเมตร ภายใต้คอนเซ็ปต์ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็ก จำหน่ายทั้งสินค้าอุปโภคบริโภคและอาหารสด
ขณะที่แหล่งข่าวจากเทสโก้ โลตัสอีกรายหนึ่งยอมรับว่า การขอใบอนุญาตการก่อสร้างสาขาขนาดใหญ่ในย่านชุมชน ประกอบกับโลเกชั่นดี ๆ หายากขึ้น ทำให้ ผู้ประกอบการทุกค่ายต่างต้องพยายามสร้างหรือโมเดลค้าปลีกรูปแบบใหม่ ๆ ขึ้นมารองรับ โดยเฉพาะไซซ์เล็กที่สามารถดำเนินการได้งานและสอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภค รวมทั้งการขยายตัวของชุมชนที่มีมากขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ผ่านมาเทสโก้ โลตัสเป็นค่ายหนึ่งที่มีโมเดลใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากสาขาในรูปแบบที่เป็นคอมมิวนิตี้มอลล์ อย่างแอทพาร์ค แอทการ์เด้นท์ และแอทโอเอซิส แล้วโมเดลที่น่าสนใจและได้รับการตอบรับจากผู้เช่าพื้นที่และลูกค้าก็คือพลัส ช็อปปิ้งมอลล์ ซึ่งเป็นการปรับสาขาเดิมที่มีอยู่แล้ว และเพิ่มพื้นที่เช่าสำหรับผู้ประกอบการรายเล็ก ปัจจุบันมี 2 สาขา ล่าสุดที่เพิ่งเปิดไปก็คือพลัส อมตะนคร และเร็วๆ นี้จะเปิดให้บริการสาขาเต็มรูปแบบที่จังหวัดสตูล ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เปิดโลตัส เอ็กซ์เพรสไปแล้วที่อำเภอละงู
"กม." บีบค้าปลีกผุดฟอร์แมตใหม่
นายธนภณ ตังคณานันท์ นายกสมาคมค้าปลีกไทย กล่าวในเรื่องนี้ว่า ปกติผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่จะมีสาขาหลาย ๆ ฟอร์แมต ไม่ว่าจะเป็นไฮเปอร์ มาร์เก็ตซูเปอร์มาร์เก็ต คอนวีเนี่ยนสโตร์ กึ่งคอนวีเนี่ยนสโตร์ ฯลฯ การที่ค้าปลีกรายใหญ่หันมาเปิดฟอร์แมตใหม่ ๆ มากขึ้น หลักๆ เป็นผลมาจากกฎระเบียบที่เข้มงวด ทำให้ผู้ประกอบการต้องนำฟอร์แมตใหม่ๆ มาให้บริการ ส่วนอีกประเด็นหนึ่งก็คือเป็นการปรับตัวเพื่อให้เข้าถึงและอำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภค
"ตอนนี้ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด การเปิดสาขาขนาดใหญ่ทำได้ยากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากเรื่องโซนนิ่ง การควบคุมอาคาร และยังมีเรื่องของ พ.ร.บ.ค้าปลีกฯ ที่กำลังจะมีออกมาอีก ซึ่งก็จะทำให้มีเงื่อนไขที่ยากมากขึ้นไปอีก"
ขณะที่นางสาวภัทรพร เพ็ญประพัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดใหญ่สายการตลาดและประชาสัมพันธ์ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ผู้บริหารท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต แสดงความเห็นว่า เหตุผลที่ค้าปลีกรายใหญ่หันมาเปิดโมเดลค้าปลีกขนาดเล็กมากขึ้น นอกจากกฎหมายโซนนิ่งที่ทำให้เปิดสาขาขนาดใหญ่ยากขึ้นแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งก็คือการมุ่งตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้าเรื่องการช็อปใกล้บ้าน
นางสาวภัทรพรยังอ้างถึงผลสำรวจของเอ.ซี.นีลเส็นที่ระบุว่า ที่ผ่านมาคอนวีเนี่ยนสโตร์มีการเติบโตสูงมาก รวมถึงร้านโชห่วย ขณะที่ทั่วประเทศมีไฮเปอร์มาร์เก็ตกว่า 250 สาขา ซูเปอร์มาร์เก็ต 200 สาขา คนที่อยากได้มาร์เก็ตแชร์ก็ต้องมองหาโอกาสใหม่ ๆ
"ท็อปส์ เดลี่ ป็นโมเดลขนาดเล็กที่สุดของท็อปส์ ตอนนี้ มี 17 สาขา จะเป?ดอีก 5 สาขา ภายในสิ้นปีนี้ และจะเปิดอีก 40 สาขา ในปีหน้า โมเดลนี้ลูกค้ามีความถี่ในการใช้บริการมากที่สุด เฉลี่ยอยู่ที่ 3-3.5 ครั้งต่อสัปดาห์ สิ่งที่เป็นจุดแข็งของท็อปส์ เดลี่ คือการพยายามเพิ่มสินค้ากลุ่มอาหารสด"