Thursday, March 15, 2012
THE MALL GROUP BLUEPRINTS 1BN FASHION FACELIFT
Monday, January 16, 2012
ศูนย์การค้าเขย่าพท.รับแบรนด์หรู กลุ่มหลุยส์วิตตองขนแบรนด์ในเครือยึดทำเลทอง
Saturday, January 7, 2012
RETAILERS EXPRESS OPTIMISM IN 2012 AND EXPANSION PLANS
![]() |
CentralPlaza Chiangrai, which opened its doors on March 30 last year. Photo Source: Bangkok Post |
Thursday, December 8, 2011
BANGNA MALL RACE PICKING UP STEAM WITH NEW ENTRANT
Wednesday, September 14, 2011
PARADISE PARK ANNOUNCES 2ND PHASE
Friday, June 3, 2011
สยามฯเติมความสดสู้ศึกค้าปลีก ทุ่มปรับโฉมถี่ยิบสกัดคู่แข่ง-"พารากอน"คิวต่อไป
Thursday, October 21, 2010
SIAM PARAGON - CENTRAL ซื้อใจคู่ค้า ยกระดับแฟชั่นไทยสู่ตลาดโลก
Thursday, August 19, 2010
FEEL THE DIFFERENCE AT PARADISE PARK

ถ้าหากว่า 24 สิงหาคมนี้เป็นวัน "แกรนด์โอเพนนิ่ง" ศูนย์การค้า "พาราไดซ์พาร์ค" ก็คงถือเป็นการปิดฉาก...ปิดตำนาน ของศูนย์การค้า "เสรีเซ็นเตอร์" ที่ให้บริการมาตลอด 15 ปีอย่างเต็มตัว
การแปลงโฉม "เสรีเซ็นเตอร์" ที่เรียบง่าย นิ่ง ไม่หวือหวา ให้กลายเป็นสวนสวรรค์แห่งการช็อปปิ้งของกรุงเทพฯย่านตะวันออก ไม่ได้กลายเป็นโจทย์การทำงานเดียวที่ท้าทาย "ชฎาทิพ จูตระกูล" กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สยามพิวรรธน์เท่านั้น แต่ยังมีอีก 2 ภารกิจสำคัญ คือการปรับโพซิชันนิ่ง "สยามเซ็นเตอร์" ครั้งใหญ่ ขณะเดียวกัน ต้องเร่งมือให้พร้อม เพื่อลอนช์แม็กเนตสำคัญ ที่จะเข้ามาเติมเต็ม "สยามดิสคัฟเวอรี่" สู้ศึกการแข่งขันค้าปลีกกลางเมืองที่ดุเดือด
พันธกิจที่ว่า เมื่อไปที่ไหน เมื่อทำอะไร ต้องเป็น "เทรนด์เซตเตอร์" เสมอ ทำให้ Look ใหม่ของทั้ง 3 ศูนย์การค้ากลายเป็นจิ๊กซอว์สำคัญเชื่อมโยง "อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต" สอดคล้องกับกลยุทธ์การแปลงโฉมด้วยแนวทาง "Before & After" ของกลุ่ม "สยามพิวรรธน์" ตลอดกว่า 25 ปี ที่โลดแล่นอยู่ในวงการค้าปลีกเมืองไทย
เมื่อเปลี่ยนแล้ว ต้องดีกว่าเก่า
เมื่อเปลี่ยนแล้ว ต้องสลัดคราบไคลเดิม ๆ ที่เคยจดจำ
เมื่อเปลี่ยนแล้ว ผู้ใช้บริการต้องสัมผัสกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
หนึ่งในภารกิจ "Before & After" ที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือการลบภาพของเสรีเซ็นเตอร์ ที่ลูกค้าต่างซึมซาบว่าเป็นห้างของคนสูงอายุ ขายอาหาร-สินค้าสุขภาพ พูดถึงทีไร มักมีใบหน้าของมหาจำลอง ศรีเมือง หรือคุณชายถนัดศรีลอยมา แต่ตลอด 3 ชั่วโมงเต็ม ที่ "ชฎาทิพ" พา "ประชาชาติธุรกิจ" สำรวจทุกซอกทุกมุมของเสรีเซ็นเตอร์ ศูนย์ภายใต้ชื่อใหม่ "พาราไดซ์พาร์ค" เห็นได้ชัดถึงความ แตกต่าง ทันสมัย รวมทั้งสินค้า ร้านค้า ไม่ต่างไปจาก "ห้างกลางเมือง"
ด้วยพื้นที่เช่า 9 หมื่น ตร.ม. มี 700 ร้านค้าครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นวิลล่า มาร์เก็ต ซูเปอร์ มาร์เก็ตพรีเมี่ยมสาขาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ, เสรีมาร์เก็ต ตลาดอาหารสดสไตล์ไทยโบราณ, แหล่งรวมแฟชั่นมาจากย่านสยาม ทั้ง แบรนด์ไทยและแบรนด์ต่างประเทศกว่า 100 ยี่ห้อ,
![]() |
สินค้าร้านลอฟท์กว่า 1 แสนชิ้น, เครื่องสำอางแบรนด์ดัง, ร้านสปอร์ตเวิลด์, แหล่งรวมร้านไอที, โฮมโปร และโรงหนังเครือเมเจอร์ฯ 900 ที่นั่ง ฯลฯ
เทียบกับเมื่อครั้งยังเป็นเสรีเซ็นเตอร์ ที่ภาพดูทะมึนทึม ขาดซึ่งความสดใส
เป็นผลจากการลงมือสำรวจความต้องการผู้บริโภคในย่านนี้อย่างละเอียดยิบ
"เดี๋ยวนี้ การใช้ความรู้สึกในการ ตัดสินใจ ใช้ไม่ได้ผลแล้ว"
ผลสำรวจดังกล่าว กลายเป็นคัมภีร์ชี้ว่า พาราไดซ์พาร์ค จะมีองค์ประกอบอะไรบ้าง ขณะเดียวกัน เป็นคัมภีร์อ้างอิงให้ร้านค้าต่าง ๆ ตัดสินใจร่วมธุรกิจ
การสยายปีกออกนอกพื้นที่กลางเมืองที่คุ้นเคย นอกเหนือจากสร้างรายได้-กระจายความเสี่ยงทางธุรกิจตลอดทั้งย่านปทุมวัน-ราชประสงค์ แข่งขันกันรุนแรง "ชฏาทิพ" ยังมองเห็นโอกาสของทำเล "ศรีนครินทร์" ที่กลุ่มลูกค้าและกำลังซื้อไม่ได้ด้อยไปกว่าทาร์เก็ต กลางเมือง
ยิ่งเมื่อนับรวมปัจจัยทางการเมือง ที่มีเหตุให้ต้องปิดศูนย์การค้าอยู่เนือง ๆ ไม่เว้นแต่ละปี ทั้งเสื้อเหลือง-เสื้อแดง ต่างยึดพื้นที่ย่านใจกลางเมืองเป็นทำเลทองและจุดรวมพล ล้วนเป็นเหตุผลที่ต้องมองหาศูนย์นอกพื้นที่กระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ
กลายเป็นความลงตัว ที่ "เอ็มบีเคเซ็นเตอร์" ชักชวนมาลงทุนพาราไดซ์ พาร์ค
"อิมเมจใหม่" "โจทย์ใหม่" ของผู้บริหารสยามพิวรรธน์คนนี้ หลังแปลงโฉม ต้องทำให้ลูกค้ามองพาราไดซ์พาร์ค เป็นภาพเคน ธีรเดช หล่อ ฉลาด และรักครอบครัว แต่ก็ใช่ว่าจะทิ้งลูกค้าเสรีเซ็นเตอร์เดิม เพราะเป็นลูกค้าที่มีกำลังซื้อ การออกแบบ จึงเป็นศูนย์เทเลอร์เมดสำหรับชุมชนจริง ๆ รัศมีครอบคลุม 10-20 ก.ม.
"การเปิดศูนย์การค้าใหม่ ทุกอย่างจะเป็นการตื่นเต้น คาดหวังตั้งแต่ตอนที่เปิดประตู และก้าวแรกที่เดินเข้าไป แต่สำหรับการเปลี่ยนโฉมใหม่ของศูนย์ กลายเป็นความท้าทายไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะลูกค้าจะเห็นการเปรียบเทียบ การคาดหวัง Before & After จึงสำคัญมาก"
ที่สำคัญ ทำอย่างไรหลังจากเปิดห้างใหม่ หรือรีโนเวตไปแล้วนั้นจะไม่ใช่แค่ "ฮันนี่มูนพีเรียด"
ทำอย่างไรให้ศูนย์ติดตลาดและลูกค้าเข้ามาจับจ่ายต่อเนื่องด้วยเป้าหมาย 1.5 แสนคนต่อวัน จากเดิม 7 หมื่นคนต่อวัน
"หลังเปิดบริการ จากนั้นคือบทพิสูจน์ ผู้บริโภคจะเป็นผู้ให้คำตอบเรา"
"ชฎาทิพ" ชี้ภาพการแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกว่า เป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้ว ที่จะสื่อถึงลูกค้าและบอกกับตลาดว่ามาศูนย์เพื่อซื้อของและมีสินค้าอะไรบ้าง แต่การเป็นศูนย์เทเลอร์เมดจะเป็นตัวสร้างความแตกต่างด้วยร้านค้ากว่า 80% ไม่เคยเปิดในย่านกรุงเทพฯตะวันออกมาก่อน รวมทั้งการสื่อถึงกลุ่มลูกค้าพาราไดซ์พาร์ค จะผ่านข้อความเดียว คือเป็นศูนย์ของชุมชน...มาแล้วมีความสุข เพราะเชื่อว่าทุกคนอยาก รับรู้แต่เรื่องดี ๆ ข่าวดี ๆ
ทำให้การทำงานทุกขั้นทุกตอน "ชฎาทิพ" ใส่ใจในทุกรายละเอียด เพื่อให้เป็นสวนสวรรค์ของการช็อปปิ้งจริง ๆ จึงไม่แปลก ที่งบฯการลงทุนรีโนเวตครั้งนี้จะบานปลายจาก 2,500 ล้านบาท เป็น 3,200 ล้านบาท ทั้ง ๆ ที่มีอายุสัญญาการเช่าที่ดิน 2.9 แสน ตร.ม.แห่งนี้เหลืออีก 15 ปีเท่านั้น
"ต้องใส่ Value เข้าไปทุกมุม ต้องใช้ความละเอียดมาก" ชฎาทิพสำทับ
ที่สำคัญ ถ้าการรีโนเวตไม่เจ๋ง ไม่โดดเด่น ทำครึ่ง ๆ กลาง ๆ แล้ว ยิ่งถ้าซีคอนสแควร์ หรือเซ็นทรัลบางนา ทุ่มงบฯปรับโฉม ครั้งใหญ่ ก็คงเป็นการยาก ที่จะแจ้งเกิด
แต่ด้วยโจทย์ที่ต้องเป็น "เทรนด์เซตเตอร์" รูปแบบการทำงานจึงต้องทุ่มเทและตั้งใจ ซึ่งหลังจากเปิดพาราโดซ์พาร์คแล้วนั้น ต้นเดือนกันยายน "ชฎาทิพ" เตรียมที่จะแปลงโฉมสยามเซ็นเตอร์ เพื่อตอกย้ำโลโก้ "แฟชั่นและเทรนด์เซตเตอร์" อีกรอบ
"การทำธุรกิจรีเทลที่ต้องเรียนรู้ทุก ๆ วัน เนื่องจากตลาดเปลี่ยน ลูกค้าเปลี่ยนมีคู่แข่งเก่ง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ศูนย์ต้องเติม แม็กเนตใหม่ ๆ เข้ามาสร้างสีสัน ซึ่งเดิม การรีโนเวตศูนย์ จะทิ้งช่วงประมาณ 7 ปี แต่ตอนนี้ 3-4 ปี ก็ต้องคิด ต้องทำแล้ว"
ซึ่งแนวทางใหม่ จะปั้นสยามเซ็นเตอร์ เพื่อเป็น "แฟลกชิปสโตร์" ของแต่ละสินค้า ซึ่งแม้ว่าแบรนด์จะไม่ต่างจากศูนย์อื่น แต่ไลน์อัพและคอลเล็กชั่นสินค้า จะเป็นจุดขาย สร้างความแตกต่าง
ขณะเดียวกัน โดยโพซิชันนิ่งของสยามเซ็นเตอร์ จะปรับเปลี่ยนไปบ้าง
จากเดิม คนมองว่า สยามเซ็นเตอร์คือวัยรุ่น ก้าวไปสู่ใครก็ได้ ที่ young @ heart
รูปลักษณ์ใหม่ของ "สยามเซ็นเตอร์" เป็นการศึกษาจากเทรนด์ของศูนย์การค้าต่างประเทศที่กำลังนิยม ใช้โทนสี แสงสร้างความต่างของอารมณ์และความรู้สึก ซึ่งแต่ละชั้นจะไม่เหมือนกัน รวมถึงโซนด้านหน้า จะปรับพื้นที่ลานด้านหน้าและบันได ที่เป็นสัญลักษณ์ของสยามเซ็นเตอร์ในรูปแบบใหม่ พร้อม ๆ กับ "สยามดิสคัฟเวอรี่" ที่ลงทุน 1 พันล้านบาท เนรมิตพื้นที่ 8 พัน ตร.ม.ในชั้น 6-7-8 เตรียมเปิดพิพิธภัณฑ์มาดามทุสโซ, ลานสเกตไอซ์แพลเนต และร้านอาหาร 40 แห่ง ที่จะเข้ามาแทน "Multi-Purpose Hall" ฮอลล์อีเวนต์ ที่วางไว้เดิม และเลื่อนไปเปิดตัวช่วงต้นปีหน้า
ก้าวย่างตลอด 25 ปี ของ "สยามพิวรรธน์" จากสยามเซ็นเตอร์-สยามดิสคัฟเวอรี่ สยามพารากอน สู่พาราไดซ์ พาร์ค แม้ว่าจะไม่มากในแง่ปริมาณ แต่สำหรับ "คุณภาพ" แล้วนั้น เป้าหมายการ ขับเคลื่อนด้วยกลยุทธ์ผู้นำ "เทรนด์ เซตเตอร์" คงยากที่ใครจะปฏิเสธ
Sunday, November 29, 2009
CENTRAL VS THE MALL VS SIAM EVENT
Image by Honou via Flickr
ด้วยสัดส่วนยอดขายที่มีมากกว่า 40% ในไตรมาสสุดท้ายของปี กลายเป็นฉนวนจุดประกายให้ผู้ประกอบการแต่ละค่าย เทกลเม็ดต่างๆ เพื่อฉุดกำลังซื้อให้หันเหมายังฝ่ายของตนเอง แต่ไฮไลต์สำคัญของห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้ายังคงอยู่ที่การจัดอีเวนต์ มาร์เก็ตติ้ง ที่จะมาสร้างสีสัน เป็นไม้เด็ดกระตุ้นกำลังซื้อของลูกค้าในแต่ละพื้นที่
Central "Gift wonderland" สีสันปั้นยอดขาย
ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัล กล่าวว่า ซีพีเอ็นให้ความสำคัญกับการจัดอีเวนต์อย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงสิ้นปี ซึ่งเป็นไฮซีซันของธุรกิจค้าปลีก โดยในโค้งท้ายของปีนี้บริษัทใช้งบประมาณกว่า 150 ล้านบาทในการจัดอีเวนต์ปลุกกระแสความสนุกสนาน สร้างสีสันให้กับศูนย์การค้าทุกศูนย์ ซึ่งมีการจัดอีเวนต์ต่างๆ รวมกว่า 200 อีเวนต์ ภายใต้แคมเปญ CentralPlaza Gift Wonderland 2010 ซึ่งกิจกรรมต่างๆ ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรจำนวนมาก อาทิ MAZDA , ธนาคารกสิกรไทย , CITIBANK , ไทยเบฟเวอเรจ เป็นต้น
"การจัดอีเวนต์ในโค้งท้ายนี้ จะช่วยให้ลูกค้ามีความเพลิดเพลิน และใช้จ่ายมากขึ้น แต่ต้องมีกิจกรรมส่งเสริมการขายที่น่าจูงใจ และสร้างกระแสได้ ซึ่งนอกจากอีเวนต์ต่างๆที่จัดขึ้นแล้ว ยังเน้นการตกแต่งภายในให้มีสีสัน เป็นจุดถ่ายภาพ เพื่อสร้างมู้ดในการจับจ่ายให้กับลูกค้าด้วย"
โดยเฉพาะที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ยังคงเป็นไฮไลต์ของช่วงเทศกาลฉลองส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ซึ่งที่นี่นอกจากจะเป็นจุดนัดพบในการร่วมนับถอยหลังเข้าสู่ปี 2010 ที่นี่ยังมีการจัดแคมเปญ The World of Happiness @ CentralWorld โดยมีกิจกรรมมากกว่า 100 กิจกรรมในช่วง 2 เดือน เพื่อสร้างสีสันและดึงดูดให้ลูกค้าทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศให้เข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นด้วย
The Mall -- Mix & Match แบบโดนใจ
นอกจากอีเวนต์ มาร์เก็ตติ้งจะดึงให้ลูกค้าหันมาสนใจ ยังช่วยสร้างมู้ดในการจับจ่ายให้และกลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ Integrated Marketing Power ที่เดอะ มอลล์ กรุ๊ป นำมาเป็นสูตรสร้างยอดขายในโค้งท้ายของปีนี้ด้วย
"การใช้กลยุทธ์ Integrated Marketing Power เป็นการผสมผสานแนวคิดทางการตลาดต่างๆ มาใช้เป็นเครื่องมือในการกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดการจับจ่าย ไม่ว่าจะเป็นอีโมชันนัล มาร์เก็ตติ้ง , โปรโมชัน มาร์เก็ตติ้ง , เซอร์วิส มาร์เก็ตติ้ง และอีเวนต์ มาร์เก็ตติ้ง" นายชำนาญ เมธปรีชากุล ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสสายการตลาด เดอะ มอลล์ กรุ๊ป กล่าว
การจัดอีเวนต์ในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้ ธีมหลักเป็นเรื่องของกิจกรรมที่จะมาสร้างสีสัน โดยทั้ง 3 ห้างจะมีรูปแบบการตกแต่งตามธีมที่แตกต่างกันไป แต่อยู่ภายใต้แนวคิดเดียวกันได้แก่ Let's make our small world smile ที่ย้อนความทรงจำที่มีแต่ความสุขในวัยเด็ก และนำมาตกแต่งเป็นดิสเพลย์ จุดถ่ายภาพ โดยมีตุ๊กตาเป็นสัญลักษณ์สื่อแทนความสุข โดยเดอะ มอลล์ เน้นธีมตุ๊กตานานาชาติในดินแดนแห่ง Small World ที่ดิสนีย์แลนด์ , ดิ เอ็มโพเรียม ตกแต่งด้วยต้นคริสต์มาสยักษ์ ตุ๊กตานางฟ้า เทวดา และพารากอน ตกแต่งด้วยตุ๊กตาพอซซาเลนในชุดนานาชาติ
สยาม ย้ำภาพแฟชั่นอีเวนต์
อีกหนึ่งอีเวนต์ มาร์เก็ตติ้งที่น่าสนใจ และน่าจะเป็นสีสันในช่วงโค้งท้ายของปีนี้ ได้แก่ งานมหกรรมแฟชั่นอีเวนต์จากดีไซเนอร์ชั้นแนวหน้า ที่ "สยามเซ็นเตอร์" นำมาเอาใจนักช็อปแฟชั่นนิสต้า และมาสร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งในสไตล์ Real Experience Dynamic ที่มีเป้าหมายเพื่อโกยยอดขายเพิ่มโดยเฉพาะ
นางศิริเพ็ญ อินทุภูติ ผู้บริหารสายการตลาดและประชาสัมพันธ์ สยามเซ็นเตอร์ เล่าว่า ในช่วงท้ายปี ลูกค้าให้ความสำคัญและเลือกจับจ่ายมากขึ้นในทุกกลุ่มสินค้า ดังนั้นสยามเซ็นเตอร์ จึงมุ่งเน้นการทำกลยุทธ์เพื่อสร้างประสบการณ์และบรรยากาศการช็อปปิ้ง ภายใต้แนวคิด Real Experience Dynamic โดยเน้นที่กลุ่มแฟชั่นอีเวนต์เป็นหลัก เพื่อสร้างความแตกต่างไม่เหมือนใคร ผนวกกับโปรโมชันที่จัดทำขึ้นแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ที่เป็นความร่วมมือระหว่างสยามเซ็นเตอร์กับซัพพลายเออร์ที่เป็นพันธมิตรเท่านั้น
โดยมหกรรมอีเวนต์แฟชั่นที่จัดขึ้น จะต่อเนื่องตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงสิ้นปี 2552 เริ่มต้นจากแฟชั่นโชว์อินเตอร์แบรนด์ชั้นนำในคอนเซ็ปต์ Mystique ที่รวมแฟชั่นเสื้อผ้าแบรนด์เนมกว่า 10 แบรนด์ อาทิ Esprit , Karen Millen , LeSportsac เป็นต้น การเปิดตัวบูติกแบรนด์ชื่อดังจากฮ่องกง another F.C.K แฟล็กชิพสโตร์แห่งแรกในประเทศไทยที่ใช้งบลงทุนกว่า 40 ล้านบาท , คอลเลกชันจากดีไซเนอร์ไทย 27 Friday และ 27 Nov. , เป็นต้น
"ปกติการจัดอีเวนต์แต่ละครั้งสามารถดึงดูดให้ลูกค้ามาใช้บริการเพิ่มได้เฉลี่ย 20% แต่ในช่วงไตรมาสสุดท้าย หากจัดอีเวนต์จะมีลูกค้าเข้ามาเพิ่ม 30% ทำให้ห้างแต่ละห้างต้องจัดอีเวนต์ต่างๆ เพิ่มมากขึ้น แต่อีเวนต์ที่จัดก็ต้องลิงก์ถึงภาพลักษณ์ของศูนย์ด้วย"
Monday, November 23, 2009
SIAM DISCOVERY หัวบันไดไม่แห้ง แฟชั่นแบรนด์เนมไทย-เทศต่อคิวจองพื้นที่เปิดช็อป
Image by edwin.11 via Flickr
สยามเซ็นเตอร์-สยามดิสคัฟเวอรี่ เนื้อหอมเสื้อผ้าแฟชั่นรุมตอม ทุ่มงบฯ 30 ล้านจับมืออินเตอร์แบรนด์-ร้านค้าภายในศูนย์ จัดกิจกรรมแฟชั่น-โปรโมชั่น ลดกระหน่ำ 70% รับหน้าขาย
นางศิริเพ็ญ อินทุภูติ ผู้บริหารฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้บริหารสยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ กล่าวว่า จากคอนเซ็ปต์ของสยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ ที่เป็นศูนย์กลางของการเป็นศูนย์รวมแฟชั่น ทำให้มีเสื้อผ้าแฟชั่นทั้งแบรนด์ไทยและอินเตอร์แบรนด์สนใจที่จะเข้ามาเปิดช็อปจำนวนมาก โดยที่ผ่านมามีเสื้อผ้าแฟชั่นอินเตอร์แบรนด์มากกว่า 20 แบรนด์เข้ามาเปิดตัวทั้งในสยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ ล่าสุดต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา another F.C.K. มัลติแฟชั่นแบรนด์ จากฮ่องกง จะเปิดแฟลกชิปสโตร์แห่งแรกในไทยที่ชั้น 4 สยามเซ็นเตอร์ และคาดว่าจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโดยรวมที่ดีขึ้น ในปีหน้าคาดว่าจะมีอินเตอร์แบรนด์สนใจจะเข้ามาเปิดช็อปเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ เพื่อรองรับหน้าขายในช่วงเทศกาลปลายปี ประกอบกับกำลังซื้อของตลาดค้าปลีกในช่วงเทศกาลที่ปรับตัวดีขึ้น บริษัทได้ทุ่มงบฯ 30 ล้านบาทในการจัด แคมเปญ "Luxury of Giving 2010" ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน-3 มกราคมปีหน้า ด้วยกลยุทธ์การตลาด "Real Experience Dynamic" ที่เน้นสร้างประสบการณ์และบรรยากาศการช็อปปิ้งผ่านแฟชั่นอีเวนต์ที่แตกต่างและต่อเนื่องทุกสัปดาห์
รวมทั้งการจัดโปรโมชั่นพิเศษที่ร่วมกับบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ มอบส่วนลดสูงสุดถึง 70% ซึ่งไม่เคยลดมาก่อนสำหรับผู้ใช้จ่ายผ่านบัตรและรับบัตรส่วนลดจากร้านค้ากว่า 250 ร้านค้า ภายใน 2 ศูนย์ และแพ็กเกจโรงแรมที่พักเมื่อซื้อสินค้าครบตามกำหนด
"การจัดแคมเปญดังกล่าว นอกจากจะเป็นการร่วมมือกับอินเตอร์แบรนด์ดังต่าง ๆ กว่า 10 แบรนด์แล้ว ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ดีไซเนอร์หน้าใหม่ ๆ เข้ามาเปิดหรือออกบูทขายของในงานแฟชั่นโชว์ด้วย คาดว่ากิจกรรมนี้จะช่วยเพิ่มทราฟฟิกลูกค้าให้เข้ามาสองศูนย์รวมกว่า 50% จากเดิม 80,000-100,000 คนต่อวัน เป็นคนไทย 70% และต่างชาติ 30% คาดว่าในส่วนลูกค้าต่างชาตินั้นจะมีเพิ่มขึ้นอีก 20% จากเดิม 30%"
นางศิริเพ็ญกล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาศูนย์มีการไปจัดโรดโชว์ในหลาย ๆ ประเทศ และเป็นตัวกระตุ้นตลาดได้เป็นอย่างดี และปีหน้าบริษัทมีแผนจะขยายการโรดโชว์ออกไปในหลาย ๆ ประเทศ ทั้งยุโรป จีน ญี่ปุน ออสเตรเลีย และฮ่องกง
"คาดหวังว่าจากแนวโน้มของอารมณ์การจับจ่ายที่เริ่มดีขึ้น ประกอบกับเป็นช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองและการจัดกิจกรรมกระตุ้นดังกล่าวจะทำให้บรรยากาศการ จับจ่ายเป็นไปอย่างคึกคัก"
Monday, September 14, 2009
วัดกำลังค้าปลีก "ชานเมือง" ขาใหญ่เดินหน้า...ลงทุนไม่อั้น
Image via Wikipedia
เม็ดเงินสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจและกระตุ้นกำลังซื้อใช่ว่าจะกระจุกตัวอยู่แต่กลางเมืองและย่านธุรกิจเท่านั้น ภาพเด่นชัดของการลงทุนศูนย์การค้าใหม่ๆ ขนาดใหญ่ตามแนวชานเมืองรอบนอกที่คึกคักและต่อเนื่องตลอดช่วง 1-2 ปีท่ามกลางภาวะการลงทุน ที่ซบเซาตามภาวะเศรษฐกิจโลกเป็นตัวสะท้อนถึงความไม่หยุดนิ่งของตลาดค้าปลีกได้เป็นอย่างดี
ทุกค่ายในวงการค้าปลีกต่างเคลื่อนทัพเข้าไปจับจองและลงทุนพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯแล้วทั้งนั้น อาทิ ไล่เรียงมาตั้งแต่แจ้งวัฒนะ งามวงศ์วาน ที่เป็นการประชันศึกศักดิ์ศรีของเดอะมอลล์เจ้าถิ่นและกลุ่มเซ็นทรัล ราชพฤกษ์ พระราม 5 มีโฮมโปรชนโฮมเวิร์ค, บางนาที่กลุ่มสยามฟิวเจอร์ลงทุนเตรียมเปิดโครงการขนาดใหญ่ "เมกะบางนา", ย่านรามอินทราที่มี 1 เดียวของศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ลงทุน 600 ล้านบาทปรับโฉมครั้งใหญ่ในรอบ 13 ปีตั้งแต่ทำธุรกิจมา
แต่ที่ขาดไม่ได้คือพื้นที่ย่านกรุงเทพฯตะวันออกตลอดเส้น "ศรีนครินทร์" ที่นักพัฒนาธุรกิจค้าปลีกแต่ละค่ายไม่ยอมตกขบวนด้วยถนนในรัศมี 10-15 กิโลเมตร
ตลอดเส้นถนนศรีนครินทร์กลายเป็นแหล่งรวมของพื้นที่ค้าปลีกแทบทุกค่าย นอกเหนือจากเจ้าถิ่นดั้งเดิมอย่างศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ แล้วยังมีบิ๊กซี, แม็คโคร, คาร์ฟูร์, เทสโก้ โลตัส, แม็กซ์แวลู (จัสโก้) และพาราไดส์ พาร์ค โครงการใหม่บนพื้นที่เสรีเซ็นเตอร์เดิมที่กลุ่มเอ็มบีเค-สยามพิวรรธน์ วางงบฯ 2,000 ล้านบาท
รวมทั้งกลุ่มเซ็นทรัลที่เตรียมเปิดรูปแบบคอมมิวนิตี้มอลล์โดยมีโฮมเวิร์คและกลุ่มบียูเซ็นทรัลรีเทลเป็นแม่เหล็ก ทั้งหมดล้วนต่างขยับตัวเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่เริ่มขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
แม้ตลอดทั้งปีนี้กลุ่มทุนค้าปลีกจะซึมซับถึงกำลังซื้อที่ลดลงได้เป็นอย่างดี แต่กลับยังคงเดินหน้าลงทุนโครงการใหม่-รีโนเวตปรับโฉมสาขาเดิมเพื่อรอตลาดในอนาคตที่ตั้งความหวังว่าอีก 1-3 ปีข้างหน้า...น่าจะดีขึ้น
ความน่าสนใจของทำเลแถบชานเมืองเริ่มขึ้นเมื่อกลุ่มลูกค้าหลักของค้าปลีกขยายตัวออกไปตามเมืองและชุมชนใหม่ที่ออกไปสู่รอบนอกต่อเนื่อง โซนกรุงเทพฯฝั่งตะวันออกตลอดช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาไม่มีศูนย์การค้าใหม่เกิดขึ้นมาเลยโดยเฉพาะในโครงการขนาดใหญ่พื้นที่ตั้งแต่ 1 หมื่น ตร.ม.ขึ้นไปนั้นมีเพียง 3 ค่ายหลัก คือ ซีคอนสแควร์, เซ็นทรัล และเสรีเซ็นเตอร์ ประกอบกับพื้นที่นี้ติดโซนสีส้ม ทำให้โครงการใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้นั้นจึงมักอยู่ในรูปแบบคอมมิวนิตี้มอลล์
การก้าวเข้ามาลงทุนของกลุ่มสยามพิวรรธน์และเอ็มบีเคเพื่อเปิด "พาราไดส์ พาร์ค" จึงกลายเป็นโอกาส "ชฎาทิพ จูตระกูล" หนึ่งในผู้ถือหุ้นโครงการนี้ ชี้ว่า โจทย์สำคัญของการแปลงโฉมให้เป็นห้างแห่งใหม่ที่ทันสมัย เป็นความท้าทายของการทำธุรกิจ เนื่องจากที่ผ่านมาสยามพิวรรธน์แข่งขันอยู่ใจกลางเมืองเป็นหลัก ขั้นตอนตัดสินใจต้องรอบคอบเพื่อให้ได้มาตรฐานแบบศูนย์การค้าที่สมบูรณ์แบบใจกลางเมือง
ด้าน "เซ็นทรัล บางนา" ตั้งเป้าขยายลูกค้าฝั่งกรุงเทพฯตะวันออก ด้วยการลงทุน 300 ล้านบาท ปรับใหญ่โดยตกแต่งภายใน ขยายพื้นที่เพิ่มแผนกและแบรนด์ใหมˆเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
การสำรวจผ่านบริษัทวิจัยที่ทำแบบสอบถามกลุ่มตัวอย่างที่พักอาศัยในย่านกรุงเทพฯตะวันออกในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา พบว่าการขยายตัวของลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผลจากการเพิ่มของจำนวนโครงการหมู่บ้านจัดสรรในระดับราคาปานกลาง-ราคาสูงกว่า 70 โครงการ
และพบว่ารายได้ต่อครัวเรือนในพื้นที่ ดังกล่าวกว่า 43% มีสูงกว่า 5 หมื่นบาทต่อเดือน ขณะที่ครัวเรือนทั่วทั้งกรุงเทพฯมีสัดส่วนเพียง 20% และมีครอบครัวถึง 2.8 หมื่นครอบครัว มีรายได้สูงกว่า 1 แสนบาทต่อเดือน สอดคล้องกับพฤติกรรมการจับจ่ายที่ชี้ว่าอันดับแรกของพฤติกรรมลูกค้าตอนนี้ คือเลือกซื้อสินค้าอาหารเข้าบ้าน 2.ออกไปทานอาหารนอกบ้าน และ 3.ช็อปปิ้งเสื้อผ้า แฟชั่นและแอ็กเซสซอรี่ต่างๆ เป็นต้น
เช่นเดียวกับโซนกรุงเทพฯฝั่งตะวันตก ศูนย์การค้าไม่ได้ตั้งเป้าเพียงเพื่อเจาะทาร์เก็ตย่านแจ้งวัฒนะ-งามวงศ์วานเท่านั้น แต่ยังตั้งเป้ากินอาณาเขตไกลถึง นนทบุรี, ปทุมธานี, อยุธยา และสุพรรณบุรี
กลายเป็นทำเลทองหลังภาครัฐพัฒนาพื้นที่เป็นศูนย์ราชการ ซึ่งการขยายเมืองส่งผลให้เกิดชุมชนใหม่ๆ โดยเฉพาะหมู่บ้านเกรดเอกว่า 50 หมู่บ้าน อาทิ นิชาดา, Grand Cannel, ลัดดาวัลย์, เศรษฐสิริ โรงเรียนนานาชาติชั้นนำ เช่น ISB, Harrow, เซนต์ฟรังฯ ซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญของศูนย์การค้า
"ชำนาญ เมธปรีชากุล" ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส สายการตลาด เดอะมอลล์ กรุ๊ปชี้ว่า จำนวนหมู่บ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียม ระดับราคา 3 ล้านบาทขึ้นไปการเพิ่มขึ้นของประชากรไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคนในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
ขนานไปกับเส้น "ราชพฤกษ์-พระราม 5" เป็นอีกหนึ่งทำเลทองที่กลุ่มนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกจับจ้อง ความเคลื่อนไหวของค้าปลีกย่านนี้คือสงครามแย่งชิงกลุ่มลูกค้าที่มีเงินหนาและกำลังซื้อสูง โดยเซ็นทรัลเปิดตัวในรูปแบบสแตนด์อะโลน โดยมีโฮมเวิร์คพร้อมเพาเวอร์บาย-ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต เป็น แม่เหล็ก ห่างออกไปเพียง 1.5 ก.ม.เจ้าถิ่น"โฮมโปร" ได้ซื้อพื้นที่เพิ่มและยกระดับ ศูนย์เป็นคอมมิวนิตี้มอลล์ด้วยการดึง "วิลล่า มาร์เก็ท" ซูเปอร์มาร์เก็ตพรีเมี่ยมมาร่วม
ภาพความเคลื่อนไหวของกลุ่มทุนค้าปลีกที่เทน้ำหนักรุกลูกค้าชานเมืองรอบด้านล้วนเพื่อช่วงชิงกำลังซื้อลูกค้าของกลุ่มใหม่ระหว่างรอเศรษฐกิจมากระตุ้นกำลังซื้อกลุ่มลูกค้าเดิมกลับมา เป็นตัวสะท้อนถึงความไม่หยุดนิ่งและไม่ยอมจำนนต่อปัจจัยลบของกลุ่มทุนค้าปลีกได้เป็นอย่างดี
Monday, April 13, 2009
ภารกิจพิชิตกระเป๋า "คนรวย" "ห้างหรู" เปิดสูตรเร่งสร้างดีมานด์
Image via Wikipedia
ความอึมครึมของเศรษฐกิจและการเมืองตลอดช่วงที่ผ่านมากระทบภาคธุรกิจทุกส่วน
กลุ่มลูกค้าระดับตลาดกลางและล่าง ได้รับผลเต็มๆ จากเงินในกระเป๋าที่น้อยลงและลำบากมากขึ้น
ขณะที่กลุ่มลูกค้าระดับบนแม้ว่าเงินในกระเป๋าจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่ "มู้ด" และ "อารมณ์" ที่อยากออกมาจับจ่ายในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาก็ลดลงเรื่อยๆ
ดัชนีชี้วัดที่น่าจะเห็นภาพที่สุด คือ การจับจ่ายผ่านห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าที่เป็นศูนย์กลางของการจับจ่ายในแทบจะทุกๆ กลุ่มสินค้า พบว่าในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมากลุ่มลูกค้าระดับบนมียอดใช้จ่ายลดลงประมาณ 2-3% จากช่วงปกติที่จับจ่ายต่อคนต่อครั้งประมาณ 3 หมื่นบาท
เมื่อเทียบกับกลุ่มจะเป็นลูกค้าทั่วไปที่แม้ว่าปริมาณจะเป็นฐานใหญ่ของตลาดกว่า 80% แต่สัดส่วนการจับจ่ายมีเพียง 20% เท่านั้น ขณะเดียวกันในแง่การจับจ่ายมียอดเฉลี่ย 600-800 บาทต่อคนต่อครั้ง
การที่จะไปตั้งความหวังกับกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ในช่วงท่ามกลางภาวะวิกฤตจึงเป็นเรื่องที่ลำบากไม่น้อย
เมื่อวิกฤตเศรษฐกิจทำให้การใช้งบฯการตลาดที่มีอยู่อย่างจำกัดต้องมีประสิทธิภาพและเข้าถึงลูกค้าโดยตรงเพื่อเร่งยอดขายให้ได้มากที่สุด จึงไม่น่าแปลกใจที่ภาพความเคลื่อนไหวของห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า ต่างโฟกัสและเล็งจุดไปหาลูกค้ากระเป๋าหนัก หรือ "คนรวย" ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่พิเศษและสูตรมัดใจต่างๆ ที่สร้างความรู้สึกให้กับลูกค้าว่า แตกต่าง ไม่เหมือนใคร และมากกว่าคนอื่น
"ณัฐศมน วงศ์กิตติพัฒน์" ผู้จัดการใหญ่สายการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัดกล่าวว่า การกระตุ้นตลาดลูกค้าระดับบนต้องหาแคมเปญที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการจับจ่ายที่ลูกค้ากลุ่มนี้ชื่นชอบมากระตุ้น และกลยุทธ์ที่ใช้บัตรเครดิตและออนท็อปในรูปแบบ
ใหม่ๆ และแตกต่างกลายเป็นสิ่งที่ทาร์เก็ตเหล่านี้ชื่นชอบ แต่ขี้เกียจที่จะผ่อน 0%
การทำแคมเปญของกลุ่มเดอะมอลล์จึงจะต้องหากิจกรรมต่างๆ ร่วมกับคู่ค้าและบัตรเครดิตมากขึ้น โดยเฉพาะทาร์เก็ตสยามพารากอน และดิ เอ็มโพเรียม ที่ถือแพลตินั่ม คาร์ด และบัตรเครดิตแพลตินั่ม ซีเล็ค และนอกเหนือจากสินค้าและกลยุทธ์ทางการตลาดที่ต้องไม่เหมือนใครแล้ว บริการต่างๆก็ต้องมีความพิเศษด้วย
"สิ่งที่น่ากลัวมากที่สุดในการทำห้าง คือ คนรวยไม่ออกมาจับจ่ายทำให้เราต้องเร่งปลุกตลาด โดยแคมเปญสินค้าและกิจกรรมเซอร์วิสที่ให้ต้องมากกว่า"
ขณะที่ "สาธิมา ทานาเบ้" รองผู้จัดการทั่วไป บริษัท เกษร แลนด์ แอสเซส แมนเนจเม้นท์ จำกัด ย้ำว่า การทำการตลาดปีนี้ของเกษรฯมีการปรับเปลี่ยนเพื่อกระตุ้นมู้ดจับจ่ายของลูกค้าให้กลับมา โดยเน้นเรื่อง smart & sophisticated ด้วยการเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน พร้อมนำเสนอสินค้าบริการ ประสบการณ์ รวมถึงโปรโมชั่นจูงใจที่ตอบโจทย์ความต้องการได้ โดยปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาได้เปิดโซน Lady"s Closet สำหรับผู้หญิงที่ใส่ใจดูแลตัวเองและต้องการความเป็นส่วนตัว
"เกษรฯจะชูความแตกต่างในเรื่องความเอ็กซ์คลูซีฟ การดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ และให้ความเป็นส่วนตัวสูง สำหรับร้านค้าที่เกษรฯคัดมานั้นส่วนใหญ่จะเป็นแฟลกชิปสโตร์มีที่เกษรฯเพียงที่เดียว"
"สาธิมา" ให้ข้อมูลด้วยว่า เกษรฯแบ่งลูกค้าเป็น 4 กลุ่ม คือ 1.มิลเลนเนี่ยม 2.เศรษฐีเก่า 3.เศรษฐีใหม่ และ 4.พนักงานบริษัท ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลักของเกษรฯในกลุ่ม 1-3 ไม่ได้รับผลกระทบเรื่องเงินมากนัก แต่บรรยากาศที่แย่ๆ จากวิกฤตทำให้เกิดความรู้สึกหดหู่และไม่อยากจับจ่าย
ภารกิจที่จะควักเงินจากกระเป๋าคนรวย ต้องโฟกัสตลาดมากขึ้น ลูกค้ากลุ่ม 1-2 ต้องกระตุ้นเซอร์วิสที่พิเศษ เป็นเอ็กซ์คูลซีฟอีเวนต์หรือปาร์ตี้ที่เป็นไพรเวตสุดๆ ส่วนกลุ่มลูกค้า 3-4 จะชื่นชอบแคมเปญที่ให้มากกว่า หรือออนท็อปพิเศษร่วมกับบัตรเครดิต
ขณะที่ "ศิริเพ็ญ อินทุภูติ" ผู้บริหารสยามเซ็นเตอร์และสยามดิสคัฟเวอรี่ ได้เปิดกลยุทธ์ซีอาร์เอ็มเชิงลึกผ่านบัตรสมาชิกระดับพรีเมี่ยมวิซ การ์ด (VIZ Card : The Very Important Zone Card) เป็นการนำสินค้า บริการ ส่วนลด และโปรโมชั่นแบบเอ็กซ์คลูซีฟภายในสยามเซ็นเตอร์และสยามดิสคัฟเวอรี่ โดยร่วมมือกับร้านภายในศูนย์กว่า 300 ร้านค้า และพันธมิตรธุรกิจกว่า 100 แห่งเพื่อเข้าถึงไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกันออกไป
"วิซ การ์ด" จะกลายเป็นเครื่องมือในการสร้างแบรนด์ลอยัลตี้ รักษาฐานลูกค้าเดิมที่มีกำลังซื้อสูง รวมทั้งสร้างแรงจูงใจกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายและความถี่บ่อยขึ้น ด้วยแบ่งรูปแบบบัตรเป็น 3 ระดับ 1. white card สำหรับลูกค้ามียอดซื้อ 8,000-19,999 บาทต่อเดือน 2.titanium card จับจ่าย 20,000-99,999 บาทต่อเดือน และ 3.black card ยอดซื้อมากกว่า 1 แสนบาทต่อเดือน
ด้าน "ห้างเซ็นทรัล" นอกเหนือจากแคมเปญส่งเสริมการขายต่างๆ แล้ว ได้เปิดบริการ porter service ซึ่งเป็นบริการใหม่ล่าสุด โดยจัดพนักงานอำนวยความสะดวกในการช่วยถือถุงแก่ลูกค้าส่งถึงรถ ควบคู่กับการให้สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าด้วยจุดบริการที่จอดรถพิเศษให้แก่ลูกค้าที่ถือบัตร Central Card Platinum และบัตร V.I.P.
กลยุทธ์สร้างยอดขายในท่ามกลางวิกฤตกำลังซื้อของตลาดค้าปลีกจึงเข้มข้นและแปลกใหม่มากขึ้น
ทั้งนี้ เพื่อทลายกำแพงความเซ็งและน่าเบื่อ สร้างความน่าสนใจและมัดใจให้กลุ่มลูกค้ากระเป๋าหนักเงินหนาอยากออกจับจ่ายมากขึ้น