Pages

Showing posts with label Villa Market. Show all posts
Showing posts with label Villa Market. Show all posts

Sunday, July 31, 2011

CP BIG C ส่งโมเดลใหม่ฮุบค้าปลีก "ขาใหญ่" เร่งเครื่องเติมช่องว่างเพิ่มอำนาจต่อรอง

ค้าปลีกรายใหญ่ซุ่มเปิดสาขารูปแบบใหม่ หวังกินรวบตลาดทุกเซ็กเมนต์ "ซีพี" โดดร่วมวงซูเปอร์มาร์เก็ต เตรียมเปิด "ซีพี ฟู้ด มาร์เก็ต" กลางกรุง เซตทีมงานใหม่ดูแลเฉพาะ โฟกัสอาหารพร้อมปรุงพร้อมทานด้วยคอนเซ็ปต์ fresh full fun fast

ด้าน "บิ๊กซี" เปิดศึกค้าส่ง "แม็คโคร" ส่ง "บิ๊กซี จัมโบ้" จับกลุ่มลูกค้าโฮเรก้า ดีเดย์เปิดสาขาแรกกลางเดือนสิงหาคมนี้ ที่พัทยาใต้

ความเคลื่อนไหวในธุรกิจค้าปลีกทวีความคึกคักและมีสีสันมากยิ่งขึ้น เมื่อรายใหญ่ ๆ อย่าง "ซีพี" และ "บิ๊กซี" ส่งค้าปลีกสาขารูปแบบใหม่ ที่ยังไม่เคยทำมาก่อน เพื่อกวาดลูกค้าให้ครบทุกเซ็กเมนต์ ทั้งยังเป็นการปรับตัวรับกฎหมายผังเมือง ที่จำกัดการขยายตัวของค้าปลีกไซซ์ใหญ่

Wednesday, March 10, 2010

สยามพิวรรธน์ ยิ้มแก้มปริ



พาราไดซ์ พาร์ค สวนกระแสเศรษฐกิจ-การเมืองผวน ขายโปรเจ็กต์เกลี้ยงใน 6 เดือน พร้อมเปิดตัวแม็กเนตใหม่ "วิลล่ามาร์เก็ท" ที่ทุ่มงบเฉียด 100 ล้านเปิดแฟล็กชิพ สโตร์สุดพรีเมียม ย้ำภาพศูนย์ช็อปปิ้งใหม่ ใหญ่สุดฝั่งกรุงเทพฯตะวันออก เผยเป็นโปรเจ็กต์เดียวที่เปิดตัวในปีนี้ ขณะที่งบเริ่มบานปลายทะลุ 2,500 ล้านบาทหลังลงทุนระบบเซฟตี้เพิ่ม





นางชฎาทิพ จูตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด และรองประธานกรรมการ บริษัท พาราไดซ์ พาร์ค จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค ถนนศรีนครินทร์ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า แม้ภาพรวมในปี 2552 ที่ผ่านมาจะมีความผันผวนมากจากปัญหาด้านเศรษฐกิจและการเมือง แต่พบว่าการเปิดตัวโปรเจ็กต์ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค ซึ่งเป็นศูนย์การค้าเสรี เซ็นเตอร์เดิม กลับได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการเป็นอย่างดี ส่งผลให้พื้นที่ขายกว่า 90,000 ตารางเมตรหมดภายในเวลา 6 เดือน โดยล่าสุดบริษัทได้เซ็นสัญญากับพันธมิตรใหม่ ได้แก่ วิลล่า มาร์เก็ท ซึ่งเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตระดับพรีเมียม มีพื้นที่กว่า 3,600 ตารางเมตร ใช้งบลงทุน 80-100 ล้านบาท โดยวิลล่า มาร์เก็ทสาขานี้จะเป็นแฟล็กชิพ สโตร์ ที่วิลล่า จะใช้เป็นต้นแบบในการขยายสาขาต่อไปในอนาคต




นอกจากนี้ยังมีเสรี มาร์เก็ต ที่เน้นจำหน่ายสินค้าอาหารครบวงจร ภายใต้คอนเซ็ปต์ ตลาดไทยโบราณ , Food Bazaar แหล่งรวมร้านอาหารดังในแต่ละภูมิภาคกว่า 100 ร้านจากทั่วประเทศ อาทิ เอราวัณทองม้วนสด , กุ๋ยฉ่ายตลาดพลู , วนัสนันท์ น้ำพริกหนุ่ม , กู โรตีชาชัก เป็นต้น และ Dining Paradise แหล่งรวมร้านอาหารดังกับบรรยากาศสบายๆ สไตล์ฝรั่ง เพื่อตอกย้ำแนวคิด โลกแห่งอาหารที่ยิ่งใหญ่

ทั้งนี้ล่าสุดบริษัทได้เปิดให้บริการเวิลด์ ออฟ เอ็ดดูเทนเมนต์ (World of Edutainment) โลกแห่งจินตนาการและการเรียนรู้ บนพื้นที่กว่า 6,000 ตารางเมตร มีสถาบันการศึกษาทั้งด้านวิชาการ ภาษา ดนตรี กีฬา ศิลปะ รวมกว่า 50 สถาบันเปิดให้บริการ นอกจากนี้ยังมีโรงภาพยนตร์เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์เป็นอีกหนึ่งแม็กเนตที่มาสร้างความบันเทิง โดยพื้นที่แต่ละโซนจะทยอยเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป และจะเปิดศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์คอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายนนี้





"แม้เศรษฐกิจและบรรยากาศทางการเมืองโดยรวมจะไม่ค่อยดีนัก แต่เมื่อเริ่มโปรเจ็กต์ก็ต้องเดินหน้า ซึ่งร้านค้าแต่ละรายต่างให้ความเชื่อมั่นว่าบริษัทจะสามารถเดินหน้าโครงการให้ประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี กระแสตอบรับจึงดีมาก อีกทั้งพาราไดซ์ พาร์คเป็นศูนย์การค้าใหม่เพียงแห่งเดียวที่เปิดให้บริการในปีนี้"





อย่างไรก็ดี ขณะนี้ความคืบหน้าในการก่อสร้างแล้วเสร็จกว่า 90% ร้านค้าเริ่มทยอยเข้าไปตกแต่งมากขึ้น ขณะที่มีร้านค้าจำนวนหนึ่งที่ยังเปิดให้บริการอยู่ ทั้งนี้งบประมาณในการก่อสร้างครั้งนี้คาดว่าจะสูงถึง 2,500 ล้านบาท สูงกว่างบประมาณเดิมที่วางไว้ที่คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 2,000 ล้านบาท เนื่องจากมีการลงทุนงานระบบด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมเพิ่ม





สำหรับโครงการพาราไดซ์ พาร์ค เป็นศูนย์การค้าที่บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด และบริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) ร่วมทุนกันเข้าซื้อกิจการศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ เมื่อเดือนกันยายนปี 2551 ก่อนที่จะตัดสินใจปรับปรุงพื้นที่ใหม่หมด ภายใต้แนวคิด Speciality Shopping Center ที่ดีที่สุดของกรุงเทพฯตะวันออก




Reblog this post [with Zemanta]

Tuesday, November 10, 2009

พันธกิจ...รวมตัวค้าปลีกไทย จุดยืน "เชนสโตร์-โชห่วย" ผลประโยชน์ใคร ?

A 7-Eleven outlet in Singapore.Image via Wikipedia


และแล้ว "CP 7ELEVEN" ได้กลายเป็นตัวแปรใหม่ที่สร้างความสงสัยอย่างกว้างขวางให้เกิดขึ้นกับแวดวงค้าปลีกไทย



พลันที่ "ซี.พี.ออลล์" นำทีมผู้ประกอบการค้าปลีกไทย อาทิ ตั้งฮั่วเส็ง-HOMEPRO-VILLA MARKET-ช้อยส์ มินิสโตร์ (กลุ่มตันตราภัณฑ์เชียงใหม่ ผู้ดำเนินธุรกิจเซเว่น อีเลฟเว่นในเชียงใหม่ ลำพูน และแม่ฮ่องสอน รวม 160 สาขา) และอื่น ๆ รวม 20 ราย ตั้งโต๊ะแถลงข่าวตั้ง "สมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทย" (The Development of Thai Capital Retailers Association หรือ DTRA) ขึ้นมา ในช่วงบ่ายของวันพุธที่ 4 พฤศจิกายนนี้ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา




เป็นการแยกวงจากที่เคยสังกัดอยู่ในสมาคมผู้ค้าปลีกไทย


เช้าวันเดียวกับที่มีแถลงข่าวเปิดตัวนั้น สมาคมผู้ค้าปลีกไทยที่ปัจจุบัน "ธนภณ ตังคณานันท์" ผู้บริหารจากเครือเซ็นทรัล สวมหมวกเป็นประธานต่อเนื่องสมัยที่ 2 ได้เรียกประชุมสมาชิก แม้จะออกตัวว่ายังไม่ทราบแน่ชัดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของสมาชิกที่แตกตัวออกไปตั้งสมาคมใหม่


"ธนภณ" สงวนท่าทีกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ ทั้งยังมองว่าการรวมกลุ่มกันเป็นเรื่องที่ดีแต่ทุกอย่างย่อมขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมายของการทำงาน


ขณะที่ "สุวิทย์ กิ่งแก้ว" รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) นายกสมาคม DTRA สด ๆ ร้อน ๆ ระบุว่า ยังคงเป็นสมาชิกของสมาคมผู้ค้าปลีกอยู่ แต่อาจต้องลดบทบาทและการทำงานลงเพื่อมาดูแลสมาคมใหม่นี้อย่างเต็มตัวและเต็มเวลา


สุวิทย์แจกแจงว่า การทำงานหลัก ๆ สมาคมจะเข้ามาดูแลให้ความช่วยเหลือ อบรมความรู้และเทคนิคการบริหารร้านรูปแบบต่าง ๆ แก่สมาชิกกลุ่มค้าปลีก สายพันธุ์ไทยด้วยกันเอง โดยเฉพาะค้าปลีกรายย่อย (โชห่วย) กว่า 4 แสนรายทั่วประเทศที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อต่อสู้และรับมือการแข่งขัน


ทั้งยังให้เหตุผลว่า ที่ผ่านมายังไม่มีการรวมกลุ่มระหว่างผู้ประกอบการค้าปลีกที่เป็น "ทุนของคนไทย" อย่างชัดเจน ขณะที่ผู้ประกอบการเองก็ต้องการให้มีสมาคมที่เป็นศูนย์กลางในการช่วยเหลือด้านการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการค้าปลีกทุนไทยโดยเฉพาะ และได้กำหนดคุณสมบัติของสมาชิกว่าจะต้องเป็นผู้ประกอบการค้าปลีกที่มีคนไทยเป็น "ผู้ถือหุ้นใหญ่" เท่านั้น


เทียบกับสมาคมผู้ค้าปลีกไทยที่ไม่ได้มีข้อกำหนดนี้


จะเป็นทุนไทย หรือร่วมทุนไทย-เทศ หรือทุนต่างประเทศล้วน ๆ สามารถเป็นสมาชิกสมาคมผู้ค้าปลีกได้ทั้งสิ้น


เมื่อมีข้อกำหนดว่าต้องเป็น "ทุนไทย" อย่างชัดแจ้ง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่ย่อมมีคำถามตามมาว่า การก่อตั้งสมาคมใหม่นี้เกี่ยวข้องกับกระแส "ต่อต้านค้าปลีกต่างชาติ" ใช่หรือไม่


คำถามนี้แจ่มชัดขึ้นอีกระดับหนึ่ง เมื่อ "สุวิทย์ กิ่งแก้ว" ยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่า ภารกิจแรกของ DTRA คือจะเข้าร่วมนำร่องประชาพิจารณ์ที่จังหวัดสงขลา ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากวันแถงข่าวเปิดตัวแค่วันเดียว เพื่อแสดงบทบาทและสะท้อนความต้องการที่เป็นกลุ่มก้อนในฐานะค้าปลีกไทย


หัวขบวนใหม่ผู้นี้ยังมองว่า ร่าง พ.ร.บ. ค้าปลีกฯดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจนในหลาย ๆ ประเด็น และเนื้อหาส่วนใหญ่ให้น้ำหนักไปที่กลุ่มโมเดิร์นเทรด แต่ไม่มีมาตรการที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการค้าปลีกรายเล็กที่เป็นรูปธรรมแต่อย่างใด


อย่างไรก็ตาม ด้านหนึ่งต้องยอมรับว่า ร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีกฯที่กำลังแก้ไขกันอยู่นี้ ไม่ได้มีการแยกระหว่าง "ทุนไทย" และ "ทุนต่างประเทศ"


หากแยกระหว่าง "ค้าปลีกสมัยใหม่-โมเดิร์นเทรด" กับ "ค้าปลีกดั้งเดิม-โชห่วย" เป็นประเด็นหลัก


เมื่อดูจากร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ย่อมทำให้ "7ELEVEN" ถูกเหมารวมอยู่ในซีก คอนวีเนี่ยนสโตร์ เฉกเช่นเดียวกับ "TESCO LOTUS EXPRESS"


เป็นยักษ์ใหญ่ที่รุมรังแกโชห่วย


ขณะที่ซูเปอร์มาร์เก็ตสัญชาติไทยอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นFOODLAND GET-IT SUPERMARKETของตั้งฮั่วเส็ง หรือVILLA MARKET ย่อมไม่ต่างอะไรจาก "ตลาดโลตัส"


ย้อนกลับไปที่ประเด็น "ทุนไทย" "ทุนต่างประเทศ" ยังเป็นข้อสังเกตว่า ในกรณีตั้งฮั่วเส็ง-โฮมโปร-วิลล่า มาร์เก็ท คงไม่น่ามีปัญหาสำหรับการนิยามตัวเองว่าเป็นค้าปลีกสายพันธุ์ไทย แต่สำหรับสถานภาพ ของคอนวีเนี่ยนสโตร์ "เซเว่นอีเลฟเว่น" ที่ยังคงต้องเสียค่าไลเซนส์ให้กับต่างชาติ อยู่นั้นจะอยู่ในนิยามจุดยืนสายพันธุ์ไทยหรือไม่


ขณะเดียวกันถ้าจะเปรียบ "CP ALL" กับ "BIG C" ก็ไม่น่าจะแตกต่างกัน เพราะอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯทั้งคู่ มีผู้ถือหุ้นทั้งไทย-เทศ ผสมปนเปกัน


ประกอบกับเมื่อไล่ย้อนดูบทบาทของ "ซี.พี.ออลล์" เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้มีการส่งตัวแทนไปนั่งเป็นประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทยมาแล้ว ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกสายตาย่อมเพ่งมองไปที่การเล่นบท "หัวหอก" ของ ซี.พี.ออลล์ ด้วยแววตาที่สงสัยยิ่ง


กระนั้นก็ตาม หาก "CP ALL" สามารถพิสูจน์ตัวเองว่า ทำเพื่อโชห่วย จริง ๆ ย่อมเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง


ผลจากการกระทำย่อมเป็นตัวชี้เจตนาเป็นอื่นไปไม่ได้






Reblog this post [with Zemanta]

Monday, September 14, 2009

วัดกำลังค้าปลีก "ชานเมือง" ขาใหญ่เดินหน้า...ลงทุนไม่อั้น

Seri CenterImage via Wikipedia


เม็ดเงินสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจและกระตุ้นกำลังซื้อใช่ว่าจะกระจุกตัวอยู่แต่กลางเมืองและย่านธุรกิจเท่านั้น ภาพเด่นชัดของการลงทุนศูนย์การค้าใหม่ๆ ขนาดใหญ่ตามแนวชานเมืองรอบนอกที่คึกคักและต่อเนื่องตลอดช่วง 1-2 ปีท่ามกลางภาวะการลงทุน ที่ซบเซาตามภาวะเศรษฐกิจโลกเป็นตัวสะท้อนถึงความไม่หยุดนิ่งของตลาดค้าปลีกได้เป็นอย่างดี

ทุกค่ายในวงการค้าปลีกต่างเคลื่อนทัพเข้าไปจับจองและลงทุนพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯแล้วทั้งนั้น อาทิ ไล่เรียงมาตั้งแต่แจ้งวัฒนะ งามวงศ์วาน ที่เป็นการประชันศึกศักดิ์ศรีของเดอะมอลล์เจ้าถิ่นและกลุ่มเซ็นทรัล ราชพฤกษ์ พระราม 5 มีโฮมโปรชนโฮมเวิร์ค, บางนาที่กลุ่มสยามฟิวเจอร์ลงทุนเตรียมเปิดโครงการขนาดใหญ่ "เมกะบางนา", ย่านรามอินทราที่มี 1 เดียวของศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ลงทุน 600 ล้านบาทปรับโฉมครั้งใหญ่ในรอบ 13 ปีตั้งแต่ทำธุรกิจมา

แต่ที่ขาดไม่ได้คือพื้นที่ย่านกรุงเทพฯตะวันออกตลอดเส้น "ศรีนครินทร์" ที่นักพัฒนาธุรกิจค้าปลีกแต่ละค่ายไม่ยอมตกขบวนด้วยถนนในรัศมี 10-15 กิโลเมตร

ตลอดเส้นถนนศรีนครินทร์กลายเป็นแหล่งรวมของพื้นที่ค้าปลีกแทบทุกค่าย นอกเหนือจากเจ้าถิ่นดั้งเดิมอย่างศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ แล้วยังมีบิ๊กซี, แม็คโคร, คาร์ฟูร์, เทสโก้ โลตัส, แม็กซ์แวลู (จัสโก้) และพาราไดส์ พาร์ค โครงการใหม่บนพื้นที่เสรีเซ็นเตอร์เดิมที่กลุ่มเอ็มบีเค-สยามพิวรรธน์ วางงบฯ 2,000 ล้านบาท




รวมทั้งกลุ่มเซ็นทรัลที่เตรียมเปิดรูปแบบคอมมิวนิตี้มอลล์โดยมีโฮมเวิร์คและกลุ่มบียูเซ็นทรัลรีเทลเป็นแม่เหล็ก ทั้งหมดล้วนต่างขยับตัวเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่เริ่มขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

แม้ตลอดทั้งปีนี้กลุ่มทุนค้าปลีกจะซึมซับถึงกำลังซื้อที่ลดลงได้เป็นอย่างดี แต่กลับยังคงเดินหน้าลงทุนโครงการใหม่-รีโนเวตปรับโฉมสาขาเดิมเพื่อรอตลาดในอนาคตที่ตั้งความหวังว่าอีก 1-3 ปีข้างหน้า...น่าจะดีขึ้น

ความน่าสนใจของทำเลแถบชานเมืองเริ่มขึ้นเมื่อกลุ่มลูกค้าหลักของค้าปลีกขยายตัวออกไปตามเมืองและชุมชนใหม่ที่ออกไปสู่รอบนอกต่อเนื่อง โซนกรุงเทพฯฝั่งตะวันออกตลอดช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาไม่มีศูนย์การค้าใหม่เกิดขึ้นมาเลยโดยเฉพาะในโครงการขนาดใหญ่พื้นที่ตั้งแต่ 1 หมื่น ตร.ม.ขึ้นไปนั้นมีเพียง 3 ค่ายหลัก คือ ซีคอนสแควร์, เซ็นทรัล และเสรีเซ็นเตอร์ ประกอบกับพื้นที่นี้ติดโซนสีส้ม ทำให้โครงการใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้นั้นจึงมักอยู่ในรูปแบบคอมมิวนิตี้มอลล์



การก้าวเข้ามาลงทุนของกลุ่มสยามพิวรรธน์และเอ็มบีเคเพื่อเปิด "พาราไดส์ พาร์ค" จึงกลายเป็นโอกาส "ชฎาทิพ จูตระกูล" หนึ่งในผู้ถือหุ้นโครงการนี้ ชี้ว่า โจทย์สำคัญของการแปลงโฉมให้เป็นห้างแห่งใหม่ที่ทันสมัย เป็นความท้าทายของการทำธุรกิจ เนื่องจากที่ผ่านมาสยามพิวรรธน์แข่งขันอยู่ใจกลางเมืองเป็นหลัก ขั้นตอนตัดสินใจต้องรอบคอบเพื่อให้ได้มาตรฐานแบบศูนย์การค้าที่สมบูรณ์แบบใจกลางเมือง

ด้าน "เซ็นทรัล บางนา" ตั้งเป้าขยายลูกค้าฝั่งกรุงเทพฯตะวันออก ด้วยการลงทุน 300 ล้านบาท ปรับใหญ่โดยตกแต่งภายใน ขยายพื้นที่เพิ่มแผนกและแบรนด์ใหมˆเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า



การสำรวจผ่านบริษัทวิจัยที่ทำแบบสอบถามกลุ่มตัวอย่างที่พักอาศัยในย่านกรุงเทพฯตะวันออกในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา พบว่าการขยายตัวของลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผลจากการเพิ่มของจำนวนโครงการหมู่บ้านจัดสรรในระดับราคาปานกลาง-ราคาสูงกว่า 70 โครงการ

และพบว่ารายได้ต่อครัวเรือนในพื้นที่ ดังกล่าวกว่า 43% มีสูงกว่า 5 หมื่นบาทต่อเดือน ขณะที่ครัวเรือนทั่วทั้งกรุงเทพฯมีสัดส่วนเพียง 20% และมีครอบครัวถึง 2.8 หมื่นครอบครัว มีรายได้สูงกว่า 1 แสนบาทต่อเดือน สอดคล้องกับพฤติกรรมการจับจ่ายที่ชี้ว่าอันดับแรกของพฤติกรรมลูกค้าตอนนี้ คือเลือกซื้อสินค้าอาหารเข้าบ้าน 2.ออกไปทานอาหารนอกบ้าน และ 3.ช็อปปิ้งเสื้อผ้า แฟชั่นและแอ็กเซสซอรี่ต่างๆ เป็นต้น



เช่นเดียวกับโซนกรุงเทพฯฝั่งตะวันตก ศูนย์การค้าไม่ได้ตั้งเป้าเพียงเพื่อเจาะทาร์เก็ตย่านแจ้งวัฒนะ-งามวงศ์วานเท่านั้น แต่ยังตั้งเป้ากินอาณาเขตไกลถึง นนทบุรี, ปทุมธานี, อยุธยา และสุพรรณบุรี

กลายเป็นทำเลทองหลังภาครัฐพัฒนาพื้นที่เป็นศูนย์ราชการ ซึ่งการขยายเมืองส่งผลให้เกิดชุมชนใหม่ๆ โดยเฉพาะหมู่บ้านเกรดเอกว่า 50 หมู่บ้าน อาทิ นิชาดา, Grand Cannel, ลัดดาวัลย์, เศรษฐสิริ โรงเรียนนานาชาติชั้นนำ เช่น ISB, Harrow, เซนต์ฟรังฯ ซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญของศูนย์การค้า


"ชำนาญ เมธปรีชากุล" ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส สายการตลาด เดอะมอลล์ กรุ๊ปชี้ว่า จำนวนหมู่บ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียม ระดับราคา 3 ล้านบาทขึ้นไปการเพิ่มขึ้นของประชากรไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคนในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา



ขนานไปกับเส้น "ราชพฤกษ์-พระราม 5" เป็นอีกหนึ่งทำเลทองที่กลุ่มนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกจับจ้อง ความเคลื่อนไหวของค้าปลีกย่านนี้คือสงครามแย่งชิงกลุ่มลูกค้าที่มีเงินหนาและกำลังซื้อสูง โดยเซ็นทรัลเปิดตัวในรูปแบบสแตนด์อะโลน โดยมีโฮมเวิร์คพร้อมเพาเวอร์บาย-ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต เป็น แม่เหล็ก ห่างออกไปเพียง 1.5 ก.ม.เจ้าถิ่น"โฮมโปร" ได้ซื้อพื้นที่เพิ่มและยกระดับ ศูนย์เป็นคอมมิวนิตี้มอลล์ด้วยการดึง "วิลล่า มาร์เก็ท" ซูเปอร์มาร์เก็ตพรีเมี่ยมมาร่วม

ภาพความเคลื่อนไหวของกลุ่มทุนค้าปลีกที่เทน้ำหนักรุกลูกค้าชานเมืองรอบด้านล้วนเพื่อช่วงชิงกำลังซื้อลูกค้าของกลุ่มใหม่ระหว่างรอเศรษฐกิจมากระตุ้นกำลังซื้อกลุ่มลูกค้าเดิมกลับมา เป็นตัวสะท้อนถึงความไม่หยุดนิ่งและไม่ยอมจำนนต่อปัจจัยลบของกลุ่มทุนค้าปลีกได้เป็นอย่างดี


Reblog this post [with Zemanta]

Wednesday, June 24, 2009

มัดใจสไตล์ "วิลล่า มาร์เก็ท" "ใครเข้าถึงลูกค้ามากที่สุด...ก็ได้ใจลูกค้าไป"


"วิลล่า มาร์เก็ท" อาจจะ "โลว์โปรไฟล์" และไม่ค่อยเป็นข่าวนัก แต่จากการเติบโตและการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าที่มีมาตลอด 35 ปีแล้ว ซูเปอร์มาร์เก็ตสัญชาติไทยรายนี้เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าใครเลยทีเดียว



และดูเหมือนจะยิ่งขยายตัวไปเรื่อยๆ ไม่เพียงกลุ่มลูกค้าคนกรุงในย่านดาวน์ทาวน์เท่านั้นที่สมัครเป็นแฟนพันธุ์แท้ แต่ "วิลล่า มาร์เก็ท" ยังได้เริ่มขยายธุรกิจออกสู่ต่างจังหวัดด้วยแล้ว ตามเสียงเรียกร้องของลูกค้าที่รู้จักและคุ้นเคย โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนของกลุ่มลูกค้าระดับบน



 




"ประชาชาติธุรกิจ" ได้สัมภาษณ์ "โสภิศ ภูสนาคม" กรรมการบริหาร ร้าน ซูเปอร์มาร์เก็ต วิลล่า มาร์เก็ท "คุณเจี้ยบ" ออกตัวว่าไม่ได้เงียบหายไปเสียทีเดียว ที่ผ่านมาก็มีกิจกรรมและทำตลาดกับลูกค้าตลอด เพียงแต่อยู่ในวงเฉพาะกลุ่ม มีกิจกรรมหรือแคมเปญอะไรลูกค้าก็จะบอกปากต่อปากกันไปมากกว่า ที่ผ่านมาร้านยังไม่มีอะไรที่หวือหวา



พร้อมกันนี้ "คุณเจี๊ยบ" ยังสะท้อนภาพการแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกอาหาร ว่า ปัจจุบันมีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งหน้าใหม่-หน้าเก่า กลุ่มโลคอแบรนด์และอินเตอร์ แบรนด์ ล้วนต้องการเข้ามาช่วงชิงลูกค้าและยอดขายมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นธรรมดาของการแข่งขัน



ซึ่งจุดแข็งของวิลล่า มาร์เก็ทคือการให้ความสด ใหม่ คุณภาพดี มีสินค้าครอบคลุมทุกอย่างที่ลูกค้าอยากได้



การแข่งขันทำให้ทุกคน ทุกค่ายต่างต้องหาจุดยืนและเลือกเอกลักษณ์ที่สะท้อนความเป็นตัวเองเพื่อสู้กันให้ได้



แต่ถ้าใครสามารถเข้าถึง consumer need ได้มากที่สุดคนนั้นก็ได้ใจลูกค้าไป



เช่นเดียวกับภาพของการขยายสาขาที่วิลล่า มาร์เก็ท ยังคงต้องเดินหน้าต่อเนื่อง "คุณเจี๊ยบ" บอกว่าปีนี้จะเพิ่มอีก 3 แห่ง คือ เกษตร-นวมินทร์ ในโครงการของสยามฟิวเจอร์ฯ, ภูเก็ต และราชพฤกษ์ จากที่มี 14 สาขาในปัจจุบัน



ขณะเดียวกันก็ได้เริ่มเข้าไปปักธงสาขาในต่างจังหวัด โดยนำร่องที่หัวหิน ภูเก็ต และพัทยา ก่อนจะขยายไปสู่จังหวัดอื่นๆ อีกในสเต็ปถัดไป



"แม้ว่าเราจะโฟกัสพื้นที่ในกรุงเทพฯมาตลอด แต่ถ้าถามว่าครอบคลุมลูกค้าครบพื้นที่แล้วรึยัง ตอบเลยว่ายัง กรุงเทพฯยังเป็นโอกาสการเติบโตของเราอีกมาก มีดีมานด์ของลูกค้าอีกเยอะที่เรายังเข้าไปไม่ถึง"



ด้วยโพซิชันนิ่งของ "วิลล่า มาร์เก็ท" ที่จับกลุ่มลูกค้าระดับบน ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่อาศัยและทำงานในไทย ปัญหาเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ทำให้ใครต่อใครปวดหัว กลับไม่มีผลต่อยอดสเปนดิ้งของร้านซูเปอร์สายพันธุ์ไทยรายนี้



ด้วยเหตุผลที่ว่ากลุ่มสินค้าอาหารเป็น สิ่งที่ลูกค้าไม่ยอมประหยัด แต่ผู้บริโภคจำนวนหนึ่งอาจมีพฤติกรรมในแง่ของการลดการทานนอกบ้าน การเที่ยวนอกบ้าน เมื่ออยู่บ้านมากขึ้นก็เลือกจะหาความสุขภายในบ้านและทำอาหารทานกันเอง ที่สำคัญลูกค้าวิลล่า มาร์เก็ทมีกำลังซื้อและเลือกที่จะซื้อสินค้าที่คุณภาพดี ไม่เกี่ยงราคา เน้นความสดใหม่ และสินค้าสำเร็จรูปนำเข้าจากต่างประเทศที่มีความหลากหลาย มีทุกอย่างที่อยากได้



ล่าสุด "วิลล่า มาร์เก็ท" ได้เปิดตัวร้าน The Gastro Cooking Studio by Villa Market กลางซอยสุขุมวิท 31 สาขาเรือธงในการสร้างยอดขาย



เมื่อมองผิวเผินคุกกิ้ง สตูดิโอนี้อาจเป็นเหมือนคอร์สสอนทำอาหารทั่วไป แต่วิลล่า มาร์เก็ทเติมความพิเศษและสร้างความแตกต่างให้ร้านเดอะ แกสโทรฯเป็นมากกว่านั้น



"คุณเจี๊ยบ" เล่าว่า การเปิดร้านเดอะ แกสโทรฯเป็นไอเดียขอคุณพ่อ (สุรพงศ์ ภูสนาคม-ซีอีโอ) ที่อยากเปิดคุกกิ้งคอร์สมานานแล้วเพื่อตอบแทนลูกค้าและจะได้มีกิจกรรมต่างๆ ทำร่วมกัน รวมทั้งเป็นการต่อยอดธุรกิจอีกอย่างหนึ่งด้วย



วิลล่า มาร์เก็ทต้องการจะให้คุกกิ้งสตูดิโอนี้แตกต่างจากที่อื่นๆ ซึ่งจะเป็นคอร์สสั้นๆ ที่รองรับเพียง 30-40 คน เน้นอาหารไทยและนานาชาติโดยเฉพาะลูกค้าที่ชื่นชอบอาหารและไวน์ ที่สำคัญยังได้ดึง "โอบอุ้ม จูตระกูล" หรือ "มินี่ ซี" "เซเลบริตี้เชฟ" ที่มีชื่อเสียงในแวดวงและเชี่ยวชาญในเรื่องอาหารมาเป็นที่ปรึกษา และเชฟกิตติมศักดิ์ให้กับเดอะ แกสโทรฯ



"แกสโทร แปลว่า อาหารการกินอยู่แล้ว และเป็นชื่อที่สื่อตรงถึงวิลล่า มาร์เก็ท ด้วย จึงอยากให้สตูดิโอนี้เป็นรูปแบบคุกกิ้งเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คนที่ชอบเหมือนกันมาเจอกัน"



ที่นี่ไม่เพียงแต่จะเป็นสตูดิโอสอนทำอาหารเท่านั้น แต่ลูกค้ายังสามารถเข้ามาทำกิจกรรมหรือใช้พื้นที่ทำอีเวนต์ต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำกิจกรรมเฉพาะในกลุ่มเพื่อนๆ ครอบครัว รวมถึงเป็นแหล่งนัดพบสังสรรค์กันในกลุ่มเพื่อนๆ และเดอะ แกสโทรฯจะเปิดที่สาขาสุขุมวิท 31 แห่งเดียว เพื่อเป็นจุดรวมการพบเจอของลูกค้าทุกสาขาของวิลล่า มาร์เก็ท



ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเคล็ดลับมัดใจลูกค้าตลอด 35 ปี ของ "วิลล่า มาร์เก็ท" ซูเปอร์มาร์เก็ตสายพันธุ์ไทย




LinkWithin

Related Posts with Thumbnails