Sunday, October 2, 2011
มหัศจรรย์ซุปเปอร์ชีป"ห้างหลังคาสังกะสี"ฟันปีละ4พันล้าน
Wednesday, August 11, 2010
กลยุทธ์ ร้านขวัญเรือน ท่ายาง กรณีศึกษาค้าส่งภูธร

ขวัญเรือน สุขนิรัญ เจ้าของร้าน “ขวัญเรือน”
***ลูกแม่ค้า แจ้งเกิดตลาดสด*** ขวัญเรือน สุขนิรัญ เจ้าของร้าน “ขวัญเรือน” วัย 40 ปี เล่าว่า ครอบครัวทำมาหากินค้าขายอยู่ในตลาดสด อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ชีวิตจึงคลุกคลีอยู่ในตลาดสดตั้งแต่จำความได้ และด้วยข้อจำกัดของฐานะทางบ้าน โอกาสการศึกษาต้องหยุดแค่ ป.6 หลังจากนั้น ออกมาช่วยค้าขายอยู่ในตลาดเรื่อยมา ด้วยความเป็นคนขยันและทุ่มเท เธอสามารถตั้งตัวเปิดร้านโชวห่วย ขนาด 1 คูหาของตัวเองได้ในวัยเพียง 26 ปี แต่เวลานั้น ยังอ่อนประสบการณ์ ประกอบกับมีปัญหาชีวิตคู่ กิจการในช่วงแรกๆ จึงประสบปัญหาอย่างมาก ถึงขั้นเป็นหนี้สะสางกว่า 2 ล้านบาท
ลงทุนกว่า 1.5 ลบ. นำระบบไอทีมาตรวจนับสต๊อกสินค้า
“ตอนนั้น ดิฉันพยายามทิ้งปัญหาเก่าๆ กลับมาตั้งต้นใหม่ โดยเจรจาขอผ่อนใช้หนี้กับบริษัทซับพรายเออร์ต่างๆ เน้นรักษาวินัยชำระคืนให้ตรงต่อเวลา แล้วค่อยๆเคลียร์หนี้ทีละราย จนผ่านไปกว่า 2 ปีสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ และมีกำไรมาหมุนเวียนกิจการ นอกจากนั้น ได้รับความช่วยเหลือจากเอสเอ็มอีแบงก์ (ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย) รีไฟแนนท์จากธนาคารเดิมช่วยแบ่งเบาอัตราดอกเบี้ยต่ำลง ทำให้มีสภาพคล่องมากขึ้น” ขวัญเรือน เล่าย้อน ***ชูกลยุทธ์ราคาถูกและหลากหลาย*** ร้าน “ขวัญเรือน” มีทั้งส่วนค้าส่ง หรือที่เรียกแบบบ้านๆ ว่า “ยี่ปั้ว” กับส่วนค้าปลีก สำหรับส่วนค้าส่ง ได้ขยายกิจการ ย้ายมาตั้งร้านที่ อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี บนพื้นที่กว่า 300 ตารางวา เมื่อราว 7 ปีที่แล้ว มีจุดแข็ง คือ ราคาสินค้าโดยเฉลี่ยจะถูกกว่าในห้างโมเดิร์นเทรด เนื่องจากยอมที่จะได้กำไรส่วนต่างน้อยกว่า อีกทั้ง มีสินค้าหลากหลาย กว่า 5 พันรายการ โดยเฉพาะสินค้าบางประเภท ซึ่งไม่สามารถหาได้ในห้างดัง แต่คนท้องถิ่นมีความจำเป็นต้องใช้ จะสามารถมาหาได้ที่ร้านขวัญเรือน
จัดเก็บเงินด้วยระบบคอมพิวเตอร์
“เนื่องจากดิฉันเป็นคนท้องถิ่น อยู่ในตลาดตั้งแต่เกิด ทำให้รู้ว่า ความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค สินค้าบางอย่างห้างอาจมองข้าม หรือเป็นสินค้าชุมชน ซึ่งมาตรฐานยังไม่สามารถเข้าห้างได้ แต่ชาวบ้านต้องการใช้ เราก็จะนำสินค้าเหล่านี้มาขายด้วย” เจ้าของร้าน เผยและอธิบายต่อว่า “สำหรับเคล็ดลับสำคัญ คือ เมื่อซื้อสินค้ามาแล้ว ต้องปล่อยออกให้เร็วที่สุด โดยพยายามซื้อสินค้าจากบริษัทผู้ผลิตโดยตรง ตัดขั้นตอนผ่านตัวแทนตรงกลาง ซึ่งจะทำให้ได้สินค้าต้นทุนต่ำ สามารถมาขายต่อได้ในราคาที่ถูกกว่าสินค้าในห้าง เมื่อลูกค้ามาซื้อสินค้าได้ในราคาถูก ทำให้เกิดกระแสบอกต่อว่า ไม่จำเป็นต้องไปซื้อที่ห้างก็ได้ เพราะร้านขวัญเรือน มีสินค้าที่เขาต้องการครบถ้วน ราคาถูกกว่า และอยู่ในท้องถิ่นใกล้บ้าน” เจ้าของกิจการ เผย ***ยกระดับโชวห่วยชนห้างยักษ์ *** ร้านแห่งนี้ ยังให้ความสำคัญด้านพัฒนาความสามารถตัวเอง โดยเฉพาะการบริหารสต๊อก ลงทุนกว่า 1.5 ล้านบาท นำระบบไอทีมาใช้ตรวจนับสินค้าและคุ้มบัญชีการเงิน อีกทั้ง จัดอบรมพนักงานในสังกัดกว่า 26 คน ในด้านวิธีจัดสต๊อกสินค้าแบบมืออาชีพ ทั้งจัดเรียง และวางตำแหน่งสินค้า เป็นต้น
ภายใต้โกดังเก็บสินค้า
นอกจากนั้น ยังมีบริการเสริมแบบที่ห้างยักษ์ใหญ่ทำให้ไม่ได้ เช่น มีรถซาเล้งบริการวิ่งส่งสินค้าภายในชุมชน จัดโปรโมชั่นพิเศษในรูปแบบเฉพาะตัว และเนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี การบริการจึงเป็นไปอย่างอะลุ่มอล่วยมีความยืดหยุ่นสูง ช่วยให้เกิดความผูกพันใกล้ชิดระหว่างผู้ซื้อและลูกค้า ขวัญเรือน ระบุว่า ตั้งแต่เปิดร้านขายส่งมากว่า 7 ปี ไม่เคยหยุดแม้แต่วันเดียว โดยเปิดบริการตั้งแต่ 4.00-23.00 น.ทุกวัน ส่งผลให้ปัจจุบัน ร้านแห่งนี้ถือเป็นยี่ปั๊วรายใหญ่ประจำท้องถิ่น มีเงินหมุนเวียน ประมาณ 10-11 ล้านบาทต่อเดือน ลูกค้าหลักคือ ร้านโชวห่วยขนาดย่อยๆ ในท้องถิ่น อ.ท่ายาง และใกล้เคียง ทั้งใน จ.เพชรบุรี เรื่อยไปถึง จ.ประจวบคิรีขันธ์
ในส่วนขายปลีก เธอ เผยว่า ได้ปรับปรุงร้านในตลาดสดให้กลายเป็นมินิมาร์ทสมัยใหม่ครบวงจร ขนาด 3 คูหา ใช้ชื่อร้านว่า “ขวัญเรือน” เช่นกัน ภายนอกตกแต่งร้านสวยงาม เป็นห้องกระจก ติดเครื่องปรับอากาศ พนักงานสวมใส่ยูนิฟอร์ม และมีรูปแบบบริการแบบมืออาชีพ ขณะเดียวกัน เน้นจุดแข็งเช่นเดียวกับร้านขายส่ง คือ ราคาสินค้าถูกกว่าร้านสะดวกซื้อเจ้าดัง และมีสินค้าให้เลือกหลากหลาย ช่วยให้กิจการเป็นไปได้ด้วยดี มียอดซื้อกว่า 600 บิลต่อวัน
“ดิฉันพยายามพัฒนาให้แข่งขันกับรายใหญ่ได้ เพราะส่วนตัว ไม่ชอบอยู่ภายใต้ชื่อใคร ของเราก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องพึ่งแบรนด์ต่างชาติเท่านั้น"
“ดิฉันพยายามพัฒนาให้แข่งขันกับรายใหญ่ได้ เพราะส่วนตัว ไม่ชอบอยู่ภายใต้ชื่อใคร ของเราก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องพึ่งแบรนด์ต่างชาติเท่านั้น อยากให้ลองมาสัมผัส จะรู้ว่าโชวห่วยฝีมือคนไทยก็สร้างความประทับใจได้ไม่แพ้กัน” ขวัญเรือน ย้ำอย่างมั่นใจ
Thursday, October 1, 2009
7Eleven ผูกมิตร "โชห่วย" มองข้ามชอตเพิ่มสัดส่วนแฟรนไชส์
Image by garycycles2 via Flickr
เดินทางมาครบ 5 ครั้งแล้ว สำหรับการจัดงานสัมมนา "ทำโชห่วยให้รวยอย่างยั่งยืน" ที่จัดโดยกรมการค้าภายในและเซเว่นอีเลฟเว่น
โดยสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นคิวของจังหวัดระยองและใกล้เคียง ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการโชห่วยราว 200 คน
หัวข้อหลักในการสัมมนา เน้นให้ผู้ประกอบโชห่วยเร่งปรับตัว เพื่อรับมือกับการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย โดยให้มองเซเว่นฯเป็นต้นแบบการบริหารจัดการ แทนที่จะคิดว่าเป็นคู่แข่งเหมือนในอดีต
เพราะเซเว่นฯได้ประกาศปรับโพซิชั่นนิ่งใหม่เป็น "ร้านอิ่มสะดวก" ที่จะไม่แย่งลูกค้ากับโชห่วยอีกต่อไป
"นริศ ธรรมเกื้อกูล" ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการ ซีพี ออลล์ ได้มอบอาวุธหลักให้โชห่วย ด้วยหลัก 4 ข้อ
ได้แก่การสร้างคุณค่า (Value) ให้ร้าน เลือกขายสินค้าที่เป็นที่ต้องการของชุมชน และสินค้านั้นต้องแตกต่างจากร้านอื่น ๆ หรือหายาก (Rare) ใช้ต้นทุนไม่สูงมาก (Costly to limited) และคนอื่นไม่สามารถเลียนแบบได้ (Hard to Substitute)
พร้อมเทคนิคการบริหารจัดการค้าปลีกทันสมัยแบบหมดเปลือก
รวมทั้งกลยุทธ์การยึดลูกค้าเป็นที่ตั้ง การวางตำแหน่งทางการตลาด คอนเซ็ปต์ ที่ชัดเจนของธุรกิจ ทำเล การจัดการ ภายในร้าน แม้กระทั่งสูตรการบริหาร สต๊อกของแห้ง
แม้จะดูเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับนักการตลาดทั่วไป แต่ก็เป็นหัวข้อที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับผู้ประกอบการโชห่วย
ขณะที่ "ตัน ภาสกรนที" กรรมการ ผู้จัดการ โออิชิ กรุ๊ป วิทยากรรับเชิญ ได้เผยเคล็ดลับการชนะใจลูกค้า ด้วยการทำในสิ่งที่เกินความคาดหมายอยู่เสมอ
"ถ้าอยากจะชนะใจลูกค้า เราต้องใจป้ำ ยิ่งถ้ามาถูกทางแล้ว ก็ต้องทุ่มทุนให้มาก ยกตัวอย่างแคมเปญไปแต่ตัว ทัวร์ยกแก๊ง ที่สามารถเข้าไปอยู่ในใจลูกค้าได้ เพราะให้ในสิ่งที่ลูกค้าคาดไม่ถึง และไม่คิดว่าจะให้มากขนาดนี้"
ส่วน "พันธ์รบ กำลา" ประธานกรรมการผู้จัดการ ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว แนะเคล็ดลับตั้งแต่การตั้งชื่อแบรนด์ และแนวทางการสร้างแบรนด์ ซึ่งต้องใช้จินตนาการควบคู่ไปด้วย
พร้อมประวัติความเป็นมาของทั้ง "โออิชิ" และ "ชายสี่หมี่เกี๊ยว" ที่ล้มลุก คลุกคลานมาหลายตลบ กว่าจะประสบความสำเร็จเหมือนทุกวันนี้
งานนี้จึงช่วยสร้างแรงบันดาลใจและบิลด์อารมณ์ให้ผู้ประกอบการโชห่วยกลับมาหึกเหิม พร้อมสู้ในสนามค้าปลีกอีกครั้ง
เหตุผลที่เซเว่นอีเลฟเว่นหันมายื่นมือช่วยเหลือโชห่วย จัดสัมมนาเผยเคล็ดลับความสำเร็จอย่างหมดเปลือก นอกจากจะสลัดภาพในอดีตที่เคยเป็นคู่แข่งกันแล้วยังสอดคล้องกับแผนขยายธุรกิจแฟรนไชส์ที่ เซเว่นฯตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปีจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 60% จากปัจจุบันมีสัดส่วน 45%
โดยเป้าหมายในการขยายแฟรนไชส์จะเน้นนักธุรกิจรายใหม่มากกว่าแฟรนไชซีเดิม
"ปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล" กรรมการผู้จัดการ ซีพี ออลล์ เปิดเผยถึงข้อดีของการขยายแฟรนไชส์ว่า ทำให้การทำงานของบริษัทคล่องตัวขึ้น เพราะแฟรนไชซีจะเป็นผู้บริหารจัดการร้านเอง
ขณะเดียวกัน บริษัทก็จะสามารถให้เวลากับการสร้างประสิทธิภาพด้านยอดขายและกำไรต่อสาขาได้อย่างเต็มที่
ที่ผ่านมา เซเว่นฯได้ปรับเงื่อนไขการเป็นเจ้าของแฟรนไชส์ให้ง่ายขึ้น ทั้งการเพิ่ม รูปแบบการลงทุนที่มี 2 โมเดล
กลาวคือลงทุน 500,000 บาท ระยะเวลาอนุญาต 6 ปี กับลงทุน 1.7 ล้านบาท ระยะเวลา 10 ปี
หรือแม้กระทั่งการการันตียอดขายด้วยการให้ผู้สนใจลงทุนเลือกซื้อแฟรนไชส์จากสาขาที่ประสบความสำเร็จแล้ว โดยไม่ต้องมีทำเลมาเสนอ
มอบทั้งอาวุธ ทั้งเงื่อนไขดี ๆ แบบนี้ ไม่เข้าตา "โชห่วย" กันบ้าง ให้มันรู้ไป !
Monday, May 25, 2009
แม่ทัพห้าง "โอเดียนหาดใหญ่" สู้ไม่ถอย
Image by .Live.Your.Life. | di ako bakla | via Flickr
สัมภาษณ์
โดย วิชยันต์ บุญโชติ
ผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่ใจสู้ "นฤมล อมรรัตน์วิทยา" รองกรรมการผู้จัดการห้างสรรพสินค้าโอเดียน ช็อปปิ้งมอลล์ หาดใหญ่ แม้จะเผชิญกับสถานการณ์ เลวร้ายมานับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่เมื่อครั้งน้ำท่วมหาดใหญ่ในปี 2543 ยังมาเจอเหตุระเบิดหน้าห้างเมื่อวันที่ 17 ก.ย.2549 ส่งผลกระทบต่อยอดขายที่หดหายไปในแต่ละปี
ล่าสุดยังไม่พ้นเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เช้ามืดของวันที่ 28 เม.ย.2552 ที่ผ่านมา เกิดไฟไหม้ขึ้นที่แผนกซูเปอร์มาร์เก็ต ชั้น 2 ของห้างโอเดียน ศูนย์การค้าที่ตั้งตระหง่านอยู่บนถนนนิพัทธ์อุทิศ 3 กลางใจเมืองหาดใหญ่ แต่โชคดีที่สามารถสกัดเพลิงได้ทันหวุดหวิดก่อนจะโหมไหม้ทั้งห้าง
ครั้งนี้แม้จะได้รับความเสียหายไม่มากนัก แต่ควันไฟโขมง มีเขม่าดำปกคลุม ส่งผลให้ภายในตัวอาคารของห้างเสียหาย จึงต้องปิดปรับปรุงเป็นการชั่วคราวประมาณ 1 เดือน ขณะนี้อยู่ระหว่างการเคลียร์รายละเอียดการประกันภัยที่ทำไว้ว่าจะรับผิดชอบอย่างไร ซึ่งคงไม่มีปัญหาอะไร พร้อมทั้งเตรียมการปรับโฉมห้างใหม่
นฤมลบอกว่า แม้จะเจอกับศึกหนัก แต่ก็ยังยิ้มรับกับทุกปัญหา เพราะเธอมองโลกในแง่ดีว่าทุกปัญหาย่อมมีทางแก้ และเธอยังอาศัยช่วงวิกฤตนี้แปรมาเป็นโอกาสทันทีด้วยการสวมหัวใจนักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้ นำสินค้าที่มีอยู่ทั้งห้างออกมาลดกระหน่ำ ล้างสต๊อกครั้งใหญ่ ซึ่งได้ผลเกินคาด ยอดขายทะลัก ล้างสต๊อกไปได้เกือบหมด
และยังได้เห็นรอยยิ้มของเธออย่างจริงใจ เธอบอกว่าไม่เป็นไร แม้จะเสียหายจากการปิดปรับปรุง 1 เดือน ทำให้รายได้หายไปกว่า 50 ล้านบาท แต่ก็สามารถขายสินค้าที่เหลืออยู่จนเกือบหมด และจะถือโอกาสนี้รีโนเวตห้างครั้งใหญ่ไปเลย เพราะไหนๆ ก็ปิดยาว 1 เดือนแล้ว พอเปิดอีกทีก็ขอให้ไฉไลยิ่งกว่าเดิม เพราะไม่ได้ปรับปรุงห้างมานานแล้ว ส่วนเงินลงทุนนั้นก็คงจะหลายล้านบาททีเดียว
จากจุดแข็งของห้างโอเดียนหาดใหญ่ที่มีมานาน คือการอยู่ในใจกลางเมือง และมีสินค้าแผนกเสื้อผ้าครบครัน พนักงานขายของห้างสามารถพูดจาสื่อสารกับชาวมาเลเซียได้ดี จึงถูกอกถูกใจนักช็อปกลุ่ม อาซ้ออาเฮียชาวมาเลเซียยิ่งนัก
ส่วนนักช็อปชาวไทยก็ไม่ได้ห่างหายไปไหน จากการที่ทางห้างขนสินค้ามาลดกระหน่ำอยู่เรื่อยๆ ทั้งปี สามารถดึงลูกค้าได้แทบทุกระดับชั้น
สำหรับยอดขายในปีนี้ นฤมลบอกว่าคงจะต้องเหนื่อย แต่ได้ตั้งเป้าไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเติบโตอย่างน้อย 5-10% เพราะมีสัญญาณที่ดีที่นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย เข้ามามากขึ้น แต่มาสะดุดเกิดเหตุไฟไหม้ อาจทำให้ต้องลุ้นหนักยิ่งขึ้นว่าจะ ขยายตัวตามเป้าที่วางไว้หรือไม่
"เป็นเรื่องปกติของการทำงานที่ต้องเจออุปสรรค อย่างเช่น เราวางเป้าหมายไว้ว่า ในหนึ่งเดือนเราต้องทำเป้าให้ได้เท่าไหร่ แต่เมื่อไม่เป็นตามเป้าหมายที่วางไว้ ก็ต้องมาปรับแผนใหม่ แก้ไปตามต้นเหตุว่าเกิดจากอะไร ถ้าเราไม่หาสาเหตุให้เจอ เราก็แก้ปัญหาไม่ถูก อาจหลงทางในการแก้ปัญหาได้"
เธอยังย้ำด้วยว่า หลักการทำงานร่วมกับบริษัทคู่ค้า เราต้องมีความจริงใจ ซื่อสัตย์ และต้องเคารพกฎกติกาที่เราทำสัญญาการค้ากัน เมื่อเจอปัญหาเราก็เจรจาร่วมกันให้วิน-วินทั้งสองฝ่าย เพราะหากค้าขายกันแล้วประสบความสำเร็จ ก็แฮปปี้ทั้งสองฝ่าย การทำธุรกิจแล้วชนะอยู่ฝ่ายเดียว มันไม่ใช่ความสำเร็จ
ในตลาดตอนนี้การแข่งขันสูง สินค้าคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อลูกค้าใช้แล้วรู้สึกประทับใจก็กลับมาซื้ออีก การบริการก็ต้องดี ซึ่งการบริการที่ดีก็ต้องมามองถึงพนักงาน เรามองในเรื่องสวัสดิการของพนักงาน เรื่องความเป็นอยู่ ความอบอุ่น การอบรมให้ความรู้ แล้วก็ทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข
ตอนนี้ในห้างมีพนักงานประมาณ 300-400 คน การอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขเป็นเรื่องยากมาก แต่เราต้องพยายามทำให้ได้ ถ้าคนเข้าใจเป้าหมายเดียวกันแล้ว การทำงานก็จะง่ายขึ้น
จากนี้ไปก็คงได้แต่เอาใจช่วยให้เวิร์กกิ้ง วูแมน นักสู้คนนี้ประสบผลสำเร็จให้กิจการห้างโอเดียนกลับมามีชีวิตชีวา เป็นศูนย์กลางการช็อปปิ้งชั้นนำให้ลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะมาเลเซีย เข้ามาจับจ่ายให้สะพัดยิ่งๆ ขึ้น !
Thursday, May 14, 2009
Carrefour Tesco Lotus อุดร กับตั้งงี่สุน
Image by sama sama - massa via Flickr
การเข้ายึดพื้นที่วงแหวนรอบเมืองอุดรธานี ฝั่งทิศตะวันออกของคาร์ฟูร์ และเทสโก้ โลตัส ทำให้หลายคนมองการเข้ามาของห้างต่างชาติทั้งสองแห่งว่า ตั้งใจมาสกัดดาวรุ่ง ทุนท้องถิ่น "ตั้งงี่สุน" ที่เลือกมาปักธงตั้งสาขา 2 ในที่แห่งนี้เป็นเจ้าแรก
เค้กก้อนใหญ่ชิ้นนี้ต้องถูกแบ่งอีกครั้ง ไม่เพียงแต่ทุนท้องถิ่น "เซฟมาร์ท" ถึงแม้จะอยู่ถนนคนละเส้น ก็ยังต้องปรับปรุงโดยการเปิดหน้าร้านของสาขา 2 เมื่อวันที่ 11 พ.ค.นี้เท่านั้น ในส่วนของ "ตั้งงี่สุน" ก็ต้องปรับตัวด้วย โดยเฉพาะสาขา 1 ถนน โพธิ์ศรี กำลังมีการปรับปรุงครั้งใหญ่
นางเสาวลักษณ์ วีระรัตนโรจน์ ผู้บริหารตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ห้างได้ทำป้ายหน้าร้านใหม่ แต่งให้ดูสวย เป็นการปรับปรุงพัฒนาขึ้นให้ดูเก๋ เท่ เพราะห้างต่างชาติมา ความสวยงามก็ต้องเกิดขึ้นไปพร้อมกับเขาด้วย ให้ลูกค้ามีความรู้สึกที่ดีว่าได้เข้าห้าง
ปัจจุบันกำลังปรับเคาน์เตอร์และพื้นด้านหน้าห้างด้วย ส่วนพื้นที่ด้านในจะทยอยปรับใหม่ โดยเฉพาะส่วนของแผนกเครื่องสำอาง ต้องปรับทั้ง 2 สาขา เฉพาะทำป้ายกับพื้นด้านหน้าของสาขา 1 ใช้งบฯ 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นทุนของห้างทั้งหมด ไม่มีซัพพลายเออร์มาช่วย
ในส่วนของ "ร้านเปี๊ยกมาร์ท" ซึ่งเป็นร้านสะดวกซื้อในเครือของเรา ตั้งแต่เปิดให้บริการมาขายดีมาก ยอดขายเป็นไปตามเป้า ขณะนี้กำลังมองหาทำเลทอง เพื่อเปิดสาขา 2 ในลักษณะของการให้เช่าร้าน และซื้อสินค้าจากห้างไปจำหน่าย
แม่ทัพใหญ่ตั้งงี่สุน มองสภาพการ แข่งขันในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคใน จ.อุดรธานีว่า การที่คาร์ฟูร์มาเปิดบริการที่อุดรธานี ส่วนเทสโก้ โลตัส เตรียมจะเปิดปลายปีนี้ ทั้งสองค่ายมาตั้งอยู่เคียงข้าง ตั้งงี่สุนนั้นยอมรับว่าดี เพราะจะเป็นส่วนเสริมจากเดิมที่เคยตั้งอยู่เดี่ยวๆ ทุกคนก็บอกว่าไกล แต่พอคาร์ฟูร์มาตั้งอยู่ใกล้ๆ เรา ทุกคนบอกว่าพื้นที่มันใกล้เข้ามาช่วยเสริมเรา ลูกค้าไปกินข้าวและซื้อของกับเขา แล้วก็มาซื้อของเราด้วย ก็เป็นการเกื้อกูลกัน ทำให้เราดีขึ้น ไม่ได้มองว่าต้องมาเป็นคู่แข่งกัน
"สิ่งแรกที่ต้องทำให้ดี คือ สร้างความรู้สึกของลูกค้าที่เข้าไปซื้อของกับเรา พอเริ่มมีสิ่งปลูกสร้างหนาแน่นเข้ามา ก็เริ่มทำให้รู้สึกว่าใกล้ขึ้น เป็นการเกื้อกูลกัน"
ส่วนของธุรกิจ "บูติคโฮเต็ล" ก็เตรียมจะเปิดบริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 กันยายน 2552 โดยมีการปรับปรุงและเพิ่มเติมในส่วนที่ขาดไป เช่น ระบบความปลอดภัย 100% สระว่ายน้ำ รวมถึงส่วนบริการและความบันเทิงด้วย
Friday, April 24, 2009
"เซฟมาร์ท" ดิ้นสู้ยักษ์ข้ามชาติ สร้างเครือข่าย-เปิดหน้าร้านสาขา 2
นับวันการค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคของทุนท้องถิ่นยิ่งลำบากมากขึ้น เพราะปัจจุบันจังหวัดอุดรธานีกลายเป็นยุทธภูมิของการค้าขนาดใหญ่เสียแล้ว โดยเฉพาะการเข้าปักธงของ "คาร์ฟูร์" เมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา ยิ่งตอกย้ำภาวการณ์แข่งขันที่รุนแรงและเข้มข้นมากขึ้น
"เซฟมาร์ท" ห้างค้าปลีก-ส่งซึ่งเป็นทุนท้องถิ่นที่ขยับตนเองมาเปิดสาขา 2 นอกเมือง และประกาศสู้กับห้างค้าปลีกข้ามชาติภายใต้การนำของ "สุรศักดิ์ สุระวรรณวิจิตร" กรรมการผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด อึ้งเซ้งเฮง (1994) จำกัด ผู้บริหารห้างค้าปลีก-ส่ง "เซฟมาร์ท" ยอมรับกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ณ วันนี้ถ้าไม่ปรับตัวอยู่ไม่ได้
แม่ทัพเซฟมาร์ทบอกว่า ในวันที่ 11 พ.ค.นี้ทางห้างจะจัดงานแกรนด์โอเพนนิ่งอาคารด้านหน้าและเปิดขายเต็มตัว ภายหลังจากขยายสาขา 2 และเปิดเป็นสโตร์ด้านหลังมาประมาณ 2 ปีแล้ว ซึ่งสาเหตุที่เปิดหน้าร้านครั้งนี้เพราะมองเป็นช่องทางและโอกาส เนื่องจากถนนเลี่ยงเมืองซึ่งอยู่ระหว่างทางออกจังหวัดหนองคาย และทางออกจังหวัดสกลนคร เซฟมาร์ทเป็นห้างเพียงแห่งเดียว นอกเหนือจากห้างขนาดใหญ่เทสโก้ โลตัส ที่ยึดพื้นที่หัวมุมถนนอุดร-หนองคาย และบิ๊กซีที่ยึดหัวมุมถนนอุดร-สกลนครไว้แล้ว
อีกทั้งถนนเส้นนี้ยังเป็นแหล่งชุมชนที่มีทั้งการค้าขนาดใหญ่ หมู่บ้านการเคหะ และหมู่บ้านจัดสรรเรียงรายอยู่จำนวนมาก จึงเป็นจุดที่น่าลงทุนเปิดหน้าร้านเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า จากเดิมที่ต้องเข้าไปซื้อสินค้าที่อาคารด้านหลัง
โดยอาคารด้านหน้ามีทั้งหมด 4 ชั้น ได้ปรับปรุงพื้นที่โดยใช้งบฯลงทุนประมาณ 5-6 ล้านบาท ชั้น 1 มีขนาดพื้นที่ประมาณ 500 ตารางเมตร จัดให้เป็น Save Mart ลักษณะซูเปอร์มาร์เก็ต ภายในจะเน้นจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค และอาหารแห้ง ส่วนชั้น 2 จัดเป็นโซนจำหน่ายกาแฟ บริการอินเทอร์เน็ต และกำลังเจรจากับสินค้าประเภทเสื้อผ้า และเครื่องกีฬาแบรนด์เนมยี่ห้อหนึ่งด้วย โดยจะเปิดบริการ ตั้งแต่เวลา 08.00-20.00 น.
ซึ่งในวันเปิดมีซัพพลายเออร์ 40-50 ราย ตอบรับมาร่วมงาน และนำสินค้ามาจัดโปรโมชั่นแรงๆ มากมาย และยังได้นำของแจก ของแถมมาร่วมกิจกรรมด้วย นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมตรวจมวลกระดูก และดารา นักร้อง มาร่วมงานอีกด้วย
สุรศักดิ์กล่าวว่า ในช่วง 2 ปีกว่าที่ผ่านมาทางร้านได้จัดกิจกรรมสร้างเครือข่าย ร้านค้าย่อยตามต่างอำเภอเพื่อกระตุ้น ยอดขาย และออกพบปะกับคู่ค้าในพื้นที่ต่างๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับร้านค้าต่างๆ ให้คำแนะนำและปรึกษาด้านการค้า ขณะที่ในส่วนของการค้าปลีกได้เดินหน้า จัดกิจกรรมการตลาดกับสมาชิก ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 5,000 ราย ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้สามารถซื้อสินค้าต่างๆ ภายในร้านและรับสิทธิซื้อสินค้าที่จัดโปรโมชั่น เพื่อสะสมคะแนนแลกรับของรางวัลต่างๆ ช่วงปลายปี ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
โดยสิทธิพิเศษที่ลูกค้ากลุ่มนี้จะได้รับอีกคือ การนำบัตรสมาชิกไปเป็นส่วนลดกับร้านค้าต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ ร้านอาหาร, สตูดิโอถ่ายภาพ, ร้านขายรถสกายแลป, ร้านขายรถจักรยานยนต์, ร้านจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า, ร้านจำหน่ายวัสดุก่อสร้างและของตกแต่ง, ร้านจำหน่ายคอมพิวเตอร์, เคเบิลทีวี, ร้านทอง, ร้านประดับยนต์, ร้านจำหน่ายของที่ระลึก, ร้านเสื้อผ้า-รองเท้าแฟชั่น, ร้านเบเกอรี่, ร้านแว่นตา, ร้านหนังสือ, โรงเรียนสอนดนตรี, โรงแรม และโรงพยาบาล ซึ่งล้วนแต่มีชื่อเสียงในจังหวัดอุดรธานี โดยให้ส่วนลดตั้งแต่ 5-50%
"เราต้องพยายามสร้างเครือข่ายใน ท้องถิ่น ถ้าอยู่เดี่ยวๆ การแข่งขันลำบาก เพราะห้างต่างชาติมาแล้วหนักจริงๆ ลำพังเราสู้คนเดียวลำบาก ซึ่งยอมรับว่าปีนี้มองอะไรไม่ชัดเจน เราคิดว่าไปได้ ก็มีตัวมาฉุดมาดึง ภาวะการเมือง"
สุรศักดิ์มองภาพรวมการค้าปลีก-ค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคในจ.อุดรธานีว่า ลูกค้าได้เรียนรู้การซื้อสินค้าในห้างต่างๆ โดยแต่ละห้างจะมีกลุ่มลูกค้าแยกกันไป ของใครของมัน ซึ่งเวลาเดินในห้างจะพบว่ามีสินค้าไม่แตกต่างกัน สินค้าตัวเดียวกัน ขึ้นอยู่กับความพอใจของลูกค้าว่าจะซื้อที่ไหน
"ผมว่าไม่ยุ่งยากในการซื้อขายกัน ปีนี้ไม่มีกิจกรรมการตลาดหนักๆ ผมมองภาพแล้วเรียกว่าต้องดูเป็นชอตๆ ไป ถ้าจัด กิจกรรมแรงๆ ไปแล้วเจอหนักๆ ก็ไม่มีประโยชน์"