Pages

Tuesday, March 30, 2010

Yum! Opens First Taco Bell in India

Taco BellImage via Wikipedia

[PRESS RELEASE] LOUISVILLE, Ky.--(BUSINESS WIRE)--Yum! Brands, Inc. (NYSE: YUM) announces the grand opening of the first Taco Bell in India by its international division, Yum! Restaurants International (YRI). Yum! is the leading restaurant company in India with its KFC and Pizza Hut brands. The introduction of the first Taco Bell in India reflects the Company's strategy of creating a third global brand.

"We're delighted to be offering Taco Bell to consumers in India, a key growth market in our global portfolio," said Graham Allan, president, Yum! Restaurants International. "Based on customer feedback so far, we expect it will become extremely popular, just as it is in the United States. The Mexican-style food is perfect for the Indian taste palate and we will be offering a variety of vegetarian meals as well so that everyone can enjoy it."

Yum!'s new Taco Bell international restaurant, located in Bangalore, India, is the country's first experience with the Mexican-inspired quick-service restaurant brand. Taco Bell's "Think Outside the Bun" positioning and brand essence is expected to resonate extremely well with India's young population. The new Taco Bell India menu features tacos, burritos, nachos, quesadillas and Crunchwraps, including spicier products tailored to the Indian market. The menu offers breakthrough value priced items starting at 35 cents. In addition, fifty percent of the menu features a vegetarian range of products specially created for Indian consumers including potato paneer burritos and crunchy potato tacos, among others.

"We are confident that Taco Bell will redefine the eating-out market in India with incredible taste catering to many consumer segments, day parts and occasions at an unmatched price," said Niren Chaudhary, managing director, Yum! Restaurants International India. "We are excited to be opening the first Taco Bell in India and we plan to expand it nationally as an incredibly vibrant and youthful brand."

Yum! Brands is focused on developing Taco Bell into its third global brand after KFC and Pizza Hut. Taco Bell is the second most profitable brand in the United States. Over the past few years, the Company has expanded Taco Bell beyond Canada and Puerto Rico to other markets including Guatemala, Costa Rica, Panama, Dominican Republic, Guam, Iceland, Philippines, Dubai, Spain and Cyprus. Yum! is optimistic about the long-term potential of growing Taco Bell internationally. As of year-end 2009, there are more than 250 Taco Bell restaurants outside of the United States.

India is a key growth market for Yum! Brands due to its extremely young and large population of 1.1 billion people, growing middle class and emerging economy. Over the past 12 years, Yum! has become the largest and fastest growing restaurant company in India by successfully developing a strong infrastructure, highly-skilled workforce focused on providing outstanding customer service and innovative, localized menus offering value options. By 2015, the Company expects to have at least 1,000 restaurants in India, up from 230 restaurants as of year-end 2009.

KFC is the fastest growing quick-service restaurant brand in India with 72 restaurants in 13 cities as of year-end 2009. Yum! opened 27 new KFC restaurants in India in 2009, which is among the highest number of store openings in the country's quick-service restaurant industry. KFC is a young, vibrant brand in India from its contemporary restaurant designs featuring bold colors, open seating areas for large groups and flat-panel televisions to innovative marketing programs to unique signature products, including vegetarian items. Last year, the Company opened its first KFC Krushers beverage bar and store design in India highlighting YRI's popular new line of yogurt and fruit smoothies, dairy-based and soda-based drinks and teas.

Pizza Hut has been named the "Most Trusted Food Service Brand" in India for the fifth year by The Economic Times (India), ahead of all other Indian and global brands, demonstrating its popularity in the country. As of year-end 2009, there are 158 Pizza Huts in 34 cities offering a range of localized products including masala pizza, chicken tikka appetizers and spicy Indian drinks.

YRI is the largest division of Yum! Brands with more than 13,000 restaurants outside the U.S. and China Division. One of Yum! Brands' four key business strategies is to drive aggressive international expansion and build strong brands everywhere. In 2009, operating profit for YRI was $491 million. The year 2009 also marked the tenth year that YRI has opened more than 700 new restaurants outside the U.S. and China.

Yum! Brands, Inc., based in Louisville, Ky., is the world's largest restaurant company in terms of system restaurants with more than 37,000 restaurants in more than 110 countries and territories. The company is ranked #239 on the Fortune 500 List, with revenues of nearly $11 billion in 2009. Four of the company's restaurant brands - KFC, Pizza Hut, Long John Silver's and Taco Bell - are the global leaders of the chicken, quick-service seafood, pizza and Mexican-style food categories. A&W Restaurants is the longest running quick-service franchise chain in America. Outside the United States, Yum! Brands system opened more than four new restaurants each day of the year, making it a leader in international retail development.
Reblog this post [with Zemanta]

Monday, March 29, 2010

THE MALL ชูธงรุกซูเปอร์มาร์เก็ต เปิด K VILLAGE



"เดอะมอลล์" เปิดแผน 5 ปี ขยายธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตรูปแบบใหม่ เปิดกว้างพร้อมลงทุนนอกค่าย "กูร์เมต์ มาร์เก็ต" สาขาเค วิลเลจ เป็น business model ขับเคลื่อนธุรกิจ เล็งทุกพื้นที่เจาะตรงทาร์เก็ตพรีเมี่ยม เตรียมปรับโพซิชันนิ่ง แบรนด์ใหม่ โฟกัสกลุ่มอาหารสดเพิ่มมาร์จิ้น-ขายความต่างหนีคู่แข่ง






การแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกที่มีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งจากผู้ประกอบการในประเทศและต่างประเทศที่เคลื่อนทัพเข้ามาเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า การปรับตัวของธุรกิจจึงต้องรวดเร็วและเป็นเชิงรุกเพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด เช่นเดียวกับ "เดอะมอลล์" ที่ได้ปรับนโยบายการลงทุนให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป โดยมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งภาพที่เห็นในขณะนี้ก็คือ การใช้ซูเปอร์ มาร์เก็ตเป็นหัวหอกนำร่องในการขยายสาขาออกไป โดยที่ไม่ผูกติดอยู่กับสาขาของเครือเดอะมอลล์



ล่าสุด เดอะมอลล์ได้ใช้งบฯลงทุน 80 ล้านบาท เปิด "กูร์เมต์ มาร์เก็ต" สาขา เค วิลเลจ คอมมิวนิตี้มอลล์ของกลุ่มคณานันต์ ที่สุขุมวิท 26



ก่อนหน้านี้นโยบายของเดอะมอลล์จะใช้โฮมเฟรชมาร์ทเป็น loss leader เพื่อเป็นแม่เหล็กเข้ามาจับจ่ายในศูนย์การค้าของเดอะมอลล์ ทำให้ที่ผ่านมาค้าปลีกค่ายนี้ ไม่ได้ทุ่มโหมไปกับการขยายสาขาซูเปอร์ มาร์เก็ต




เดอะมอลล์เปิดเกมรุกซูเปอร์มาร์เก็ต



นายพีระ อัศวาภิรมย์ ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสบริหารสินค้าซูเปอร์มาร์เก็ต กูร์เมต์ มาร์เก็ตและโฮมเฟรชมาร์ท บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า กูร์เมต์ มาร์เก็ต สาขาเค วิลเลจ ถือเป็นสแตนด์อะโลนสาขาแรกของกลุ่ม และจะเป็นสาขานำร่องของการขยายซูเปอร์มาร์เก็ตออกนอกศูนย์การค้าของกลุ่มในอนาคต 3-5 ปี และจะเป็น prototype ในการเป็นบิสซิเนสโมเดล สำหรับการขยายสาขาอื่น ๆ ของซูเปอร์มาร์เก็ตของกลุ่มเดอะมอลล์ ไม่ว่าจะเป็นโฮมเฟรชมาร์ทหรือกูร์เมต์ มาร์เก็ต






การขยายสาขาดังกล่าวจะเปิดกว้างรับพันธมิตรและคู่ค้าที่จะขยายสาขาร่วมกันในหลากหลายรูปแบบ ทั้งศูนย์การค้าหรือคอมมิวนิตี้มอลล์ และต้องมีพื้นที่อย่างน้อย 1,000 ตร.ม.ขึ้นไป แต่จะไม่ขยายในลักษณะสแตนด์อะโลนหรือคอนวีเนี่ยนสโตร์ เนื่องจากเป็นเซ็กเมนต์ที่มีการแข่งขันรุนแรง และปัจจุบันตลาดมีทางเลือกจากผู้ประกอบการหลากหลายค่ายอยู่แล้ว



"สาขาใหม่ที่เปิดนอกศูนย์การค้าของกลุ่มจะสามารถไปได้ทั้งโฮมเฟรชมาร์ท และกูร์เมต์ มาร์เก็ต แต่ทั้งนี้จะต้องพิจารณาความพร้อมทั้งด้านทำเลที่ตั้ง กลุ่มลูกค้า และคอนเซ็ปต์ของธุรกิจ และทุกสาขาที่จะไปเดอะมอลล์ต้องเป็น anchor tenant ซึ่งปัจจุบันได้วางตำแหน่งแบรนด์ โฮมเฟรชมาร์ท เพื่อเจาะกลุ่มทาร์เก็ตครอบครัวผ่านทางศูนย์การค้าเดอะมอลล์ และกูร์เมต์ มาร์เก็ต เจาะทาร์เก็ตพรีเมี่ยมในศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม และสยามพารากอน"



ปั้น "กรูเมต์ มาร์เก็ต" นำร่อง



ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสเดอะมอลล์ อธิบายคอนเซ็ปต์ของกูร์เมต์ มาร์เก็ตสาขาเค วิลเลจว่า เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตสไตล์ยุโรป gourmet marche boutique มีพื้นที่ 1,500 ตร.ม. แบ่งเป็นกลุ่มสินค้าโกรเซอรี่, ตลาด สดและอาหารนานาชาติ โดยจัดโซนสินค้าและคัดจากทั่วทุกมุมโลก นอกจากนี้ ยังแบ่งเป็นโซนญี่ปุ่นและเกาหลี เพื่อรองรับเทรนด์ด้วย เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าย่านสุขุมวิทและถนนพระราม 4 ที่มีการขยายตัวของกลุ่มลูกค้าระดับบนสูงต่อเนื่อง



โดยเฉพาะผู้พักอาศัยและครอบครัวในคอนโดมิเนียมบนถนน 2 เส้นนี้ รวมกว่า 3 หมื่นยูนิต และอาคารสำนักงานขนาดใหญ่กว่า 30 อาคาร สอดคล้องกับทาร์เก็ตของกูร์เมต์ มาร์เก็ต รวมทั้งเป็นการเพิ่มการจับจ่ายของกลุ่มลูกค้าจากเดิมที่ต้องรอซื้อในช่วงเวลาที่ศูนย์การค้าเปิดในช่วง 10.00 น. แต่กูร์เมต์ มาร์เก็ต เปิดให้บริการตั้งแต่ 08.00-22.00 น.



"แม้เค วิลเลจจะใกล้กับดิ เอ็มโพเรียม แต่เราจะจับลูกค้าที่ค่อนข้างกว้างกว่า ส่วนคาร์ฟูร์ก็เชื่อว่าลูกค้าจะเป็นคนละกลุ่มกัน จึงค่อนข้างมั่นใจ และในปีแรก (เมษายน 2553-เมษายน 2554) ตั้งเป้ายอดขายไว้ประมาณ 300 ล้านบาท"



K Village by The Mall
เดินหน้ายกระดับหนีคู่แข่ง



นายพีระกล่าวด้วยว่า ควบคู่กับแนวทางดังกล่าว จากนี้ไปทั้งกูร์เมต์ มาร์เก็ตและโฮมเฟรชมาร์ท จะเน้นนโยบายเชิงรุกมากขึ้น ด้วยการเพิ่มความหลากหลายของสินค้าเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง โดยจะให้ความสำคัญกับสินค้าในกลุ่มที่เป็นอาหารสด เช่นเดียวกับกลุ่มสินค้าหรืออาหารเพื่อสุขภาพ และออร์แกนิกที่มีแนวโน้มความต้องการเพิ่มขึ้นอยˆางต่อเนื่อง



ขณะเดียวกันก็จะมีการปรับบรรยากาศและการตกแต่งภายในร้านใหมˆ รวมทั้งการเพิ่มสินค้าไพรเวตแบรนด์ที่บริษัทเป็นผู้นำเข้ามาทำตลาดเอง ซึ่งปัจจุบันมี 6 แบรนด์ มากกว่า 500 รายการ และจะเพิ่มอีก 200 รายการ



อาหารสดเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลุ่มสินค้าที่เป็นอาหารสด แม้จะคอนโทรลยากแต่ก็เป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง ปัจจุบันกลุ่มอาหารสดมีสัดส่วนประมาณ 30% จากรายได้รวม 12,000 ล้านบาท จากซูเปอร์มาร์เก็ตทั้ง 2 แบรนด์ และตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนอาหารสดเป็น 50% ในอนาคตอันใกล้



"ที่ผ่านมาเราได้เริ่มยกระดับทั้งโฮมเฟรชมาร์ทในบางสาขาไปบ้าง เช่น บางแค และตอนนี้อยู่ระหว่างการปรับเพิ่มพื้นที่สาขาโคราช นอกจากนี้ยังมีแผนจะปรับและขยายพื้นที่กูร์เมต์ มาร์เก็ตที่สยามพารากอน และดิ เอ็มโพเรียมด้วย"



ตลาดซูเปอร์มาร์เก็ตที่ผ่านมามีท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นหัวขบวน มียอดขายใน ปีที่ผ่านมาประมาณ 20,000 ล้านบาท ส่วนรายอื่น ๆ อาทิ ฟู้ดแลนด์ วิลล่ามาร์เก็ต ฯลฯ อย่างไรก็ตามการขยายสาขาในรูปแบบคอมมิวนิตี้มอลล์ทำให้โอกาสการขยายสาขาของซูเปอร์มาร์เก็ตมีมากขึ้นด้วย




Reblog this post [with Zemanta]

Friday, March 26, 2010

Watsons to invest B215m this year

A shop from the "Watson's Your Personal S...Image via Wikipedia

Central Watson Co, the health and beauty store chain, will triple its investment budget in Thailand to 215 million baht this year.

Managing director Toby Anderson said the budget would be used to open new stores, upgrade the IT system, work on marketing activities, develop its own label and train staff.

"Our parent firm is still confident in the health and beauty business in Thailand and will keep investing over the next 10 to 20 years. Watsons has been here for 13 years and our budget this year is the highest since 2005," he said.

Watsons is available in only 42 provinces across the country and it plans to expand.

The company expects to open 15 new outlets this year compared to seven new stores last year. Of the total, two-thirds will be upcountry with the balance in Bangkok, bringing the total to 185 by year-end.

In 2009, Watsons achieved its growth target despite adverse economic conditions.

The company was displaying its confidence in the country's long-term prosperity by investing in a customer relationship management (CRM) system, store improvement and staff training, said Mr Anderson.

According to research by AGB Nielsen, sales for Watsons grew 5% last year, more than supermarket and hypermarket channels, in all key categories of skin care, hair care and cosmetics. This was partly because of the strength of its brand, he said.

The company launched 400 items under the Watsons brand last year with its 'Grape Bella' skin-care line contributing a sales value of 21 million baht. Demand for the Watsons brand rose by 25% last year so this year the company will add another 200 branded products.

"This year, we will continue to focus on skin-care categories with the introduction of at least one new product each quarter," said Mr Anderson.

Watsons also plans to focus more on identifying customer segmentation, using the CRM system and customer analysis to tailor promotions.

He said the global retail health and beauty market was resilient and growing in Asia. In Thailand, the youth segment is especially strong and is driving demand.
Reblog this post [with Zemanta]

Thursday, March 25, 2010

ปตท.ขายแฟรนไชส์ Cafe Amazon ตั้งเป้า120สาขาให้ดีลเลอร์/ผู้สนใจทั่วประเทศ

ปตท.เตรียมขายแฟรนไชส์ร้านกาแฟ "คาเฟ่ อเมซอน" ให้กับดีลเลอร์ปั๊มน้ำมัน ปตท.และผู้สนใจทั่วไป หลังทำรายได้ปีที่แล้วกว่า 100 ล้านบาท ตั้งเป้าปี 2553 จะขยายได้ 120 สาขา


นายพิชิต แก้วไพจิตร ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจค้าปลีกในสถานีบริการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" หลังจากที่กาแฟภายใต้แบรนด์ "คาเฟ่ อเมซอน" ของ ปตท.ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าจนขยายสาขาไปแล้วกว่า 391 สาขาทั่วประเทศ ทั้งในสถานีบริการน้ำมันของบริษัท ปตท.และขยายไปยังอาคารสำนักงานต่าง ๆ ว่า ในปีนี้บริษัท ปตท.มีแผนที่จะขยายร้านกาแฟคาเฟ่ อเมซอน ของการขายแฟรนไชส์ 2 รูปแบบ คือ 1) ขยายให้กับผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการน้ำมัน ปตท.ภายในช่วงกลางปี 2553 นี้ กับ 2) ขายให้กับบุคคลภายนอกที่สนใจ ภายนอกสถานีบริการน้ำมันภายในปลาย ปี 2553 จะใช้เงินลงทุนอยู่ที่ 2.3 ล้านบาท/แห่ง คาดว่าภายในปีนี้จะขยายร้านกาแฟคาเฟ่ อเมซอนได้อีก 120 แห่ง



"TESCO LOTUS" ปูพรม "F&F" ชน ซาร่า-ฟอร์เอฟเวอร์ 21



น่าจะสร้างความสั่นสะเทือนในวงการแฟชั่นได้ไม่มากก็น้อย เมื่อ 2 ยักษ์ค้าปลีกอย่าง "เทสโก้ โลตัส" และ "บิ๊กซี" ต่างช่วยกันเร่งอุณหภูมิการแข่งขันสินค้ากลุ่มแฟชั่นของตัวเอง ชนิดที่เรียกว่า ไม่มีใครยอมใคร



แม้จะทยอยนำสินค้าแฟชั่นเอ็กซ์คลูซีฟแบรนด์ "F&F" จากอังกฤษ จำหน่ายบางสาขาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เพื่อยกระดับภาพลักษณ์โซนแฟชั่น



วันนี้ "เทสโก้ฯ" เพิ่งได้ฤกษ์ออกตัวเสื้อผ้าแฟชั่นเต็มรูปแบบ ด้วยการเปิดตัว F&F เป็นทางการในงานแฟชั่นโชว์ เมื่อค่ำคืนวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา



"เจน แบรนดอน" ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ F&F เทสโก้ โลตัส เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เสื้อผ้า F&F เป็นแฟชั่นแบรนด์ที่มีดีไซน์หลากหลาย เกาะกระแสแฟชั่นโลก ในราคาที่น่าทึ่ง



โดยปีนี้จะนำเสนอ 4 คอลเล็กชั่น แต่ละคอลเล็กชั่นประกอบด้วยเครื่องแต่งกายบุรุษ สตรี และเด็ก



ที่สำคัญ คือสินค้าจะออกแบบให้มีขนาดที่หลากหลาย เหมาะกับรูปร่างคนไทย และจำหน่ายเฉพาะที่เทสโก้ฯ 110 สาขา




เบื้องต้น จะสร้างการรับรู้แบรนด์ให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าชาวไทย ผ่านสื่อต่างๆ ทั้งนิตยสารไลฟ์สไตล์และแฟชั่นชั้นนำ หนังสือพิมพ์ โฆษณาโทรทัศน์ และ www.fandfclothing.com



F&F แบ่งสินค้าเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ F&F สไตล์แฟชั่นสำหรับหนุ่มสาวทำงาน เรียบโก้ ทันสมัย และมีสไตล์



F&F Blue นำเสนอแฟชั่นสไตล์ลำลอง เน้นคุณภาพและดีไซน์ มาพร้อมความสบายในการสวมใส่ ด้วยสไตล์ที่หลากหลาย



และ F&F Kids and Baby เต็มไปด้วยสีสันแห่งความสนุกสนานและความสดใสของวัยเด็ก ทนทาน และสวมใส่สบาย



ที่สำคัญ ราคาจะถูกกว่าคู่แข่งอย่าง Forever 21 และ Zara ประมาณ 50-70%



"ค้าปลีกทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกมีการแข่งขันสูง เราเชื่อมั่นว่าสิ่งที่จะสร้างความสำเร็จให้กับ F&F ในประเทศไทย คือการผสมผสานกันของหลาย ๆ ปัจจัย นั่นคือเทรนด์ของสินค้า คุณภาพ และราคา" ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ให้ข้อมูล



หลังจัดงานแฟชั่นโชว์เปิดตัว F&F อย่างยิ่งใหญ่ ภายในระยะเวลาไม่ถึงสัปดาห์ ค่าย "บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์" ที่ทำตลาดเสื้อผ้ามาระยะหนึ่งแล้วและพยายามสร้างแบรนด์มาอย่างต่อเนื่องก็รอช้าไม่ได้ รีบส่งสินค้าแฟชั่นที่มีอยู่ถึง 8 แบรนด์ออกมาประชันทันที



โดยปีนี้บิ๊กซีประกาศใช้งบฯการตลาด 20 ล้านบาท จัดแคมเปญซัมเมอร์ คอลเล็กชั่น 2010 สวยสบายกระเป๋า Only@BigC เพื่อเพิ่มความร้อนแรงให้สินค้ากลุ่มแฟชั่น



"จริยา จิราธิวัฒน์" รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) อธิบายที่มาที่ไปว่า ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงฟื้นตัว ส่งผลให้ประชาชนส่วนใหญ่จำเป็นต้องควบคุมค่าใช้จ่าย ประกอบกับทัศนคติที่ดีขึ้นของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์เฮาส์แบรนด์ น่าจะเป็นอีกตัวเสริมที่สำคัญ



สินค้าแฟชั่นของบิ๊กซี ประกอบด้วย 8 แบรนด์ ได้แก่ The Cove ยีนสำหรับทุกวัย C-Zone เสื้อผ้าสตรีวัยรุ่น FFWD เสื้อผ้าลำลองวัยรุ่นชาย D-Line เสื้อผ้าสำหรับสาวทำงาน Contemp และ I very Cost เสื้อผ้าสำหรับใส่รับลมร้อน Dondolio เสื้อผ้าลำลองสำหรับหนุ่มน้อย และ Emily เสื้อผ้าสีสันสดใสสำหรับสาวน้อย ราคาเริ่มต้นที่ 59-459 บาท



อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารเสื้อผ้าแฟชั่น แบรนด์เนมรายแสดงความเห็นว่า แม้ไฮเปอร์มาร์เก็ตจะทุ่มทำตลาดกับกลุ่มแฟชั่นมากแค่ไหน ก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบไปถึงเสื้อผ้าแฟชั่นที่ขายในห้างสรรพสินค้า



เริ่มจากการวางตำแหน่งทางการตลาดของเสื้อผ้าในไฮเปอร์มาร์เก็ตและ ห้าง เป็นคนละตำแหน่งกัน ขณะที่เรื่องคุณภาพและราคาก็แตกต่างกัน สินค้าของไฮเปอร์มาร์เก็ตจะจับลูกค้ากลุ่มกลางถึงกลุ่มล่าง



และที่มีความสำคัญก็คือต้องใช้เวลาอีกสักพัก เพื่อสร้างแบรนด์อิมเมจ



ต้องจับตาดูว่านาทีนี้ "แบรนด์อิมเมจ" กับ "ราคา" อะไรมาแรงกว่ากัน



MAKRO โล่งเมืองท่องเที่ยวยอดพุ่งอานิสงส์คนหนีม็อบออกตจว.



"แม็คโคร" โล่งอกตัวเลขเมืองท่องเที่ยวเวิร์ก ผลพวงจากคนหนีม็อบออก ตจว. พร้อมเตรียมทุ่มงบฯรีโนเวตสาขาเมืองท่องเที่ยวรับตลาดโฮเรก้าบูม เผยแผนเปิดสาขาใหม่ เมืองกาญจน์-ลพบุรี



นางสุชาดา อิทธิจารุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-กุมภาพันธ์) แม็คโครมีการเติบโตต่อเนื่องเป็นเลข 2 หลัก แต่หลังจากมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในเดือนมีนาคมแม็คโครก็ได้รับผลกระทบบ้าง บรรยากาศเงียบลงเล็กน้อยเนื่องจากผู้บริโภคเกิดความกังวลโดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น โทรทัศน์ขนาดใหญ่



ขณะนี้แม้ว่าหลาย ๆ ธุรกิจอาจจะได้รับผลกระทบดังกล่าวโดยเฉพาะการท่องเที่ยว ซึ่งสมาคมโรงแรมระบุว่าตัวเลขการจองห้องของโรงแรมในกรุงเทพฯลดลง แต่สำหรับแม็คโครเองโดยเฉพาะสาขาในต่างจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยว ถ้าดูจากยอดอาหารสดที่ผ่านมาสาขาเมืองท่องเที่ยวโตมากกว่า 30% ขณะที่สาขาในกรุงเทพฯโตเพียง 10% ส่วนหนึ่งเพราะนักท่องเที่ยวหนีจากกรุงเทพฯไปเที่ยวต่างจังหวัด




"ลูกค้าเราไม่ใช่กลุ่มโรงแรม 5-6 ดาว แต่ส่วนใหญ่กว่า 60% เป็นร้านโชห่วย เป็นรถเข็นริมถนน และอีก 17% เป็นกลุ่ม โฮเรก้าหรือรีสอร์ตต่างจังหวัด บูติคโฮเต็ล การตัดสินใจซื้อของลูกค้าขึ้นอยู่กับกำลังซื้อและอารมณ์ บางคนมีกำลังซื้อแต่ไม่มีอารมณ์ก็ไม่ซื้อ แต่ธุรกิจของแม็คโครขายสินค้าที่เขาจำเป็นต้องซื้อ"



นางสุชาดากล่าวว่า หากเหตุการณ์ลากยาวกระทบถึงการท่องเที่ยวก็อาจกระทบไปถึงกำลังซื้อ แผนเปิดสาขาใหม่ปีนี้มี 3 แห่ง ที่เปิดไปแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ที่กำแพงเพชร และเมษายนนี้มีแผนจะเปิดที่กาญจนบุรี และช่วงกลางปีที่ลพบุรี



ปัจจุบันแม็คโครมีสาขาตามเมืองท่องเที่ยว 4 แห่งได้แก่ ภูเก็ต กระบี่ สมุย และพัทยา โดยเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้วได้ทุ่มงบฯ 50 ล้านบาทในการรีโนเวตสาขาภูเก็ตที่เปิดมา 4-5 ปี โดยติดเครื่องปรับอากาศ เพิ่มตู้แช่ ปรับเลย์เอาต์ ด้วยการนำกลุ่มอาหารสดมาไว้ข้างหน้าเพื่อให้สอดคล้องกับตลาดโฮเรก้า (โรงแรม ภัตตาคาร และธุรกิจจัดเลี้ยง) จากนี้ไปจะพิจารณารีโนเวตสาขาเมืองท่องเที่ยวต่อ ๆ ไป



และเพื่อกระตุ้นลูกค้าโฮเรก้าที่มีสมาชิกประมาณ 200,000 ราย แม็คโครได้ร่วมกับพันธมิตร 260 ราย จัดงานแม็คโคร โฮเรก้า 2010 ครั้งที่ 5 (18-21 มีนาคม) เปิดโอกาสให้ผู้ต้องการอาชีพเสริมหรือเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำไปต่อยอดธุรกิจ คาดว่าตลอด 4 วันจะมีผู้เข้าร่วมงาน 70,000 คน เพิ่มจากปีที่แล้วที่จัดงาน 3 วัน และมีผู้ร่วมงาน 50,000 คน ขณะที่ในต่างจังหวัดก็มีการจัดงานโฮเรก้าเดย์ในแต่ละสาขาด้วย



"ปีที่แล้วแม็คโครมีการเติบโต 6% ตลอดทั้งปีนี้คาดว่าบริษัทจะเติบโตมากกว่าจีดีพีของประเทศ ซึ่งคาดว่าจะเติบโต 4-5%" นางสุชาดากล่าว



Thursday, March 18, 2010

ร้านค้าแห่จอง"THE MALL โคราช" เปิดบริการโฉมใหม่พ.ค.ขึ้นแท่นพารากอนภาคอีสาน

City of Nakhon RatchasimaImage via Wikipedia


ร้านค้าส่วนกลาง-ท้องถิ่นพาเหรดจองพื้นที่เดอะมอลล์ โคราช โฉมใหม่ หลังเทงบฯปรับปรุงครั้งใหญ่ทุกแผนกกว่า 520 ล้านบาท ดันเป็นพารากอนแห่งภาคอีสาน คาดแล้วเสร็จพร้อมเปิดบริการเต็มรูปแบบ พ.ค. 53 นี้ อวดยอดขายปี"52 เกินเป้าสูงสุดในเครือเดอะมอลล์กรุ๊ปกว่า 2.6 พันล้านบาท ปีนี้หวังเติบโต 10-15% ฟันยอดขาย 2.7 พันล้านบาท





นายปรีชา ลิ้มอั่ว ผู้จัดการทั่วไป ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ นครราชสีมา เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า หลังจากเริ่มดำเนินการปรับปรุงเดอะมอลล์ โคราช ครั้งใหญ่ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ขณะนี้การก่อสร้างเสร็จแล้วกว่า 80% โดยมีร้านค้าจากส่วนกลางและท้องถิ่นสนใจเซ็นสัญญาเช่าพื้นที่ใหม่ของเดอะมอลล์แล้วกว่า 90% ได้แก่ คลินิกศูนย์ความงาม 4 ราย คือ นิติพลคลินิก, ธนพรคลินิก, วุฒิ-ศักดิ์คลินิก, เมโกะคลินิก ร้านเสริมสวย 2 ร้าน คือ TO B 1, Future Cut ร้านอาหาร 4 ราย คือ JEFFER, กลุ่มโออิชิ ในชื่อ Shabushi, เจียงลูกชิ้นปลา, เจียงบุฟเฟ่ต์ขนมจีน



ร้านไอที 4 ราย คือ ไอทีซิตี้, เอไอเอส, แพร่พัทยา, ไอ-โมบาย และร้านค้าเฟอร์นิเจอร์อีก 1 ราย คือ เอสบีดีไซน์สแควร์ ซึ่งในจำนวนนี้ยังไม่นับรวมถึงร้านค้ารายย่อยต่าง ๆ ที่เข้าจองพื้นที่แล้วเช่นกัน



"เดิมได้ตั้งงบประมาณปรับปรุงโฉมครั้งใหญ่ของเดอะมอลล์ โคราช ในรอบ 10 ปีไว้ที่ 450 ล้านบาท แต่ขณะนี้ต้องเพิ่มงบประมาณขึ้นอีกเป็น 520 ล้านบาท เนื่องจากต้องการให้โฉมใหม่ออกมาโดดเด่นและทันสมัย เพื่อก้าวขึ้นเป็นพารากอนแห่งภาคอีสาน โดยให้ทุกแผนกมีความทันสมัยขึ้น ตอบสนองความต้องการของลูกค้า"



สำหรับความคืบหน้าในการก่อสร้าง ต่อเติมศูนย์การค้าเดอะมอลล์ นครราชสีมา ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการเก็บรายละเอียดและตกแต่งให้มีความเรียบร้อยสวยงาม โดยเริ่มปรับปรุงชั้นใต้ดิน หรือที่เรียกว่า Day & Night Mall ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นซิตี้วอล์ก (City Walk) ซึ่งได้ปรับปรุงใหม่ทั้งหมด



ขณะที่พื้นที่บริเวณชั้น 1 ขณะนี้ได้ดำเนินการไปแล้วกว่า 80% ทั้งแผนกเสื้อผ้าชาย-สตรี แผนกเครื่องประดับ



ในส่วนของโฮมเฟรชมาร์ทก็ได้ปรับเปลี่ยน โดยมีการขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย สำหรับแผนกสวนสนุกและสวนน้ำก็มีการปรับปรุงให้มีสีสันสดใสมากขึ้น สำหรับชั้น 2 จะมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ ทั้งโซนแฟชั่นสตรี แคมปิ้ง ดนตรี แผนกเด็ก แผนกของใช้ตกแต่งบ้าน ทั้งนี้เพื่อให้สอดรับกับการปรับปรุงพื้นที่ชั้น 3 ที่มีการขยายพื้นที่ออกไปอีก 13,000 ตารางเมตร โดยแบ่งเป็น 3 โซน คือ โซนเพาเวอร์มอลล์ มีพื้นที่กว่า 3,000 ตารางเมตร โซนไอที โดยจะมีร้านไอทีซิตี้ ศูนย์บริการเอไอเอส และบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับไอทีทั้งหมดมารวมไว้ในชั้นนี้ รวมถึงโซนเซอร์วิส ซึ่งจะมีภัตตาคารเปิดให้บริการเพิ่มขึ้นอีก 4-5 ร้าน



ในเบื้องต้นกำหนดเปิดให้บริการเฟสแรก ในวันที่ 9 เมษายน 2553 โดยจะเปิดให้บริการในส่วนของโซนเพาเวอร์มอลล์ บริเวณชั้น 3 และประมาณกลางเดือนพฤษภาคม 2553 จะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ พร้อมกับการฉลองครบรอบ 1 ทศวรรษ ของห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ นครราชสีมา ในช่วงเดือนสิงหาคม 2553 และคาดว่าปี 2552 จะเติบโตอย่างน้อย 10-15% หรือประมาณ 2.7 พันล้านบาท



ส่วนผลประกอบการในปี 2552 ยอดขายของเดอะมอลล์ โคราช เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ จากเดิมเคยระบุว่า จะมียอดขายประมาณ 2,500 ล้านบาท แต่ปรากฏว่ายอดขายสูงเกินเป้าที่ตั้งไว้คือ 2,600 ล้านบาท โดยเฉพาะในเดือนสุดท้ายของปีที่ผ่านมา เดอะมอลล์ โคราช มีอัตราเติบโตสูงที่สุดในเครือเดอะมอลล์กรุ๊ปทั้งหมด ส่วนในปี 2553 ตั้งเป้ายอดขายเติบโต อย่างน้อย 10-15% หรือประมาณ 2,700 ล้านบาท




Reblog this post [with Zemanta]

Wednesday, March 10, 2010

สยามพิวรรธน์ ยิ้มแก้มปริ



พาราไดซ์ พาร์ค สวนกระแสเศรษฐกิจ-การเมืองผวน ขายโปรเจ็กต์เกลี้ยงใน 6 เดือน พร้อมเปิดตัวแม็กเนตใหม่ "วิลล่ามาร์เก็ท" ที่ทุ่มงบเฉียด 100 ล้านเปิดแฟล็กชิพ สโตร์สุดพรีเมียม ย้ำภาพศูนย์ช็อปปิ้งใหม่ ใหญ่สุดฝั่งกรุงเทพฯตะวันออก เผยเป็นโปรเจ็กต์เดียวที่เปิดตัวในปีนี้ ขณะที่งบเริ่มบานปลายทะลุ 2,500 ล้านบาทหลังลงทุนระบบเซฟตี้เพิ่ม





นางชฎาทิพ จูตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด และรองประธานกรรมการ บริษัท พาราไดซ์ พาร์ค จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค ถนนศรีนครินทร์ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า แม้ภาพรวมในปี 2552 ที่ผ่านมาจะมีความผันผวนมากจากปัญหาด้านเศรษฐกิจและการเมือง แต่พบว่าการเปิดตัวโปรเจ็กต์ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค ซึ่งเป็นศูนย์การค้าเสรี เซ็นเตอร์เดิม กลับได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการเป็นอย่างดี ส่งผลให้พื้นที่ขายกว่า 90,000 ตารางเมตรหมดภายในเวลา 6 เดือน โดยล่าสุดบริษัทได้เซ็นสัญญากับพันธมิตรใหม่ ได้แก่ วิลล่า มาร์เก็ท ซึ่งเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตระดับพรีเมียม มีพื้นที่กว่า 3,600 ตารางเมตร ใช้งบลงทุน 80-100 ล้านบาท โดยวิลล่า มาร์เก็ทสาขานี้จะเป็นแฟล็กชิพ สโตร์ ที่วิลล่า จะใช้เป็นต้นแบบในการขยายสาขาต่อไปในอนาคต




นอกจากนี้ยังมีเสรี มาร์เก็ต ที่เน้นจำหน่ายสินค้าอาหารครบวงจร ภายใต้คอนเซ็ปต์ ตลาดไทยโบราณ , Food Bazaar แหล่งรวมร้านอาหารดังในแต่ละภูมิภาคกว่า 100 ร้านจากทั่วประเทศ อาทิ เอราวัณทองม้วนสด , กุ๋ยฉ่ายตลาดพลู , วนัสนันท์ น้ำพริกหนุ่ม , กู โรตีชาชัก เป็นต้น และ Dining Paradise แหล่งรวมร้านอาหารดังกับบรรยากาศสบายๆ สไตล์ฝรั่ง เพื่อตอกย้ำแนวคิด โลกแห่งอาหารที่ยิ่งใหญ่

ทั้งนี้ล่าสุดบริษัทได้เปิดให้บริการเวิลด์ ออฟ เอ็ดดูเทนเมนต์ (World of Edutainment) โลกแห่งจินตนาการและการเรียนรู้ บนพื้นที่กว่า 6,000 ตารางเมตร มีสถาบันการศึกษาทั้งด้านวิชาการ ภาษา ดนตรี กีฬา ศิลปะ รวมกว่า 50 สถาบันเปิดให้บริการ นอกจากนี้ยังมีโรงภาพยนตร์เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์เป็นอีกหนึ่งแม็กเนตที่มาสร้างความบันเทิง โดยพื้นที่แต่ละโซนจะทยอยเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป และจะเปิดศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์คอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายนนี้





"แม้เศรษฐกิจและบรรยากาศทางการเมืองโดยรวมจะไม่ค่อยดีนัก แต่เมื่อเริ่มโปรเจ็กต์ก็ต้องเดินหน้า ซึ่งร้านค้าแต่ละรายต่างให้ความเชื่อมั่นว่าบริษัทจะสามารถเดินหน้าโครงการให้ประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี กระแสตอบรับจึงดีมาก อีกทั้งพาราไดซ์ พาร์คเป็นศูนย์การค้าใหม่เพียงแห่งเดียวที่เปิดให้บริการในปีนี้"





อย่างไรก็ดี ขณะนี้ความคืบหน้าในการก่อสร้างแล้วเสร็จกว่า 90% ร้านค้าเริ่มทยอยเข้าไปตกแต่งมากขึ้น ขณะที่มีร้านค้าจำนวนหนึ่งที่ยังเปิดให้บริการอยู่ ทั้งนี้งบประมาณในการก่อสร้างครั้งนี้คาดว่าจะสูงถึง 2,500 ล้านบาท สูงกว่างบประมาณเดิมที่วางไว้ที่คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 2,000 ล้านบาท เนื่องจากมีการลงทุนงานระบบด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมเพิ่ม





สำหรับโครงการพาราไดซ์ พาร์ค เป็นศูนย์การค้าที่บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด และบริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) ร่วมทุนกันเข้าซื้อกิจการศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ เมื่อเดือนกันยายนปี 2551 ก่อนที่จะตัดสินใจปรับปรุงพื้นที่ใหม่หมด ภายใต้แนวคิด Speciality Shopping Center ที่ดีที่สุดของกรุงเทพฯตะวันออก




Reblog this post [with Zemanta]

Tuesday, March 9, 2010

BIG C งัดโมเดลใหม่ชน TESCO LOTUS -ROBINSONบุกหัวเมืองรอง



ค้าปลีกเปิดเกมรุกขยายสาขาอีกระลอก พร้อมใจเข็นโมเดล "มินิ" ยึดหัวเมืองรอง "บิ๊กซี" ส่งไฮเปอร์ฯ 2,000 ตร.ม. ชิมลางก่อน 1 สาขา ซีอาร์ซีชู โมเดลใหม่ "โรบินสัน"เจาะจังหวัดกลาง-เล็กเตรียมลงทุน 8 สาขาใน 3 ปี ขณะที่เซเว่นอีเลฟเว่นเผยไต๋ เดินหน้าปูพรมเจาะระดับอำเภอยันตำบล



ที่ผ่านมา นอกจากค่ายค้าปลีกรายใหญ่จะเดินหน้าขยายสาขาไปยังต่างจังหวัดโดยเฉพาะหัวเมืองหลักๆ อย่างต่อเนื่องแล้ว ขณะเดียวกันก็พบว่าปัจจุบันเริ่มมีความเคลื่อนไหวที่จะพุ่งเป้าไปที่จังหวัดระดับรอง ๆ ลงมามากขึ้น



ล่าสุดที่น่าสนใจอย่างยิ่งกับแนวทางของกลุ่มเซ็นทรัลที่พร้อมส่งสาขาขนาดเล็กเพื่อเจาะจังหวัดขนาดกลาง นอกจากนี้ ยังมีบิ๊กซีที่เปิดสาขาขนาด 2,000 ตร.ม. ซึ่งจะชนกับ ตลาดโลตัส โดยตรง



ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการย่อขนาดสาขาให้เหมาะกับกำลังซื้อนั้น เทสโก้ โลตัส นำมาใช้อย่างได้ผล อย่างไรก็ตาม การที่ค้าปลีกค่ายอื่นหันมาใช้กลยุทธ์เดียวกันจะทำให้การแข่งขันในจังหวัดรอง ๆ มีความเข้มข้นขึ้นแน่นอน



แหล่งข่าววงการค้าปลีกรายใหญ่ยอมรับว่า การที่หลาย ๆ ค่ายหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาสาขาที่มีขนาดเล็กมากขึ้น มาจากการหาพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ยากขึ้น ที่สำคัญคือกฎหมายที่เกี่ยวข้องมีข้อจำกัดและเข้มงวด ทำให้การเปิดสาขามีความล่าช้า โดยข้อดีของสาขาขนาดเล็กคือ ความคล่องตัว และใช้เวลาการก่อสร้างไม่นานและใช้เงินทุนไม่สูง และง่ายในการบริหารจัดการ



"การเติบโตทางเศรษฐกิจและศักยภาพของเมืองรอง ๆ ในต่างจังหวัด รวมถึงพฤติกรรมหรือไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปและมีความคล้ายคลึงกับคนในกรุงเทพฯ หรือหัวเมืองหลักก็เป็นปัจจัยอีกอย่างหนึ่ง"




รายงานข่าวจากบริษัท อินนิชิเอทีฟ จำกัด บริษัทวางแผนและซื้อสื่อโฆษณา เปิดเผยว่า ขณะนี้ธุรกิจค้าปลีกทั้งศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้า เชนธุรกิจร้านอาหาร มีแนวโน้มจะขยายสาขาออกไปในต่างจังหวัดมากขึ้น นอกจากเหตผลในแง่ของตลาดและกลุ่มลูกค้าในกรุงเทพฯที่ค่อนข้างเต็มแล้ว ดีมานด์ของกลุ่มลูกค้าในต่างจังหวัดก็ต่างมีศักยภาพด้านกำลังซื้อสูงและที่ผ่านมาสินค้าและบริการยังไม่เพียงพอกับความต้องการ






อินนิชิเอทีฟ ยังคาดการณ์ด้วยว่า สำหรับเซเว่นอีเลฟเว่นโดยที่ปัจจุบันมี สาขา 5,300 สาขา มีสัดส่วนในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด 49:51 และภายในปี 2014 จะเพิ่มเป็น 7,000 สาขา จะเป็นสัดส่วนต่างจังหวัดสูงถึง 60% ขณะที่ ยัม เรสเตอรองท์ ที่ตั้งเป้าว่าภายในปี 2014 จะมีสาขา 877 แห่ง หรือครบทุกอำเภอในประเทศ



บิ๊กซี ทดลองโมเดลมินิไฮเปอร์ฯ



นางสาวรำภา คำหอมรื่น รองประธานฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เพื่อเพิ่มโอกาสการเปิดสาขาในจังหวัดรอง ๆ บริษัททดลองสร้างสาขารูปแบบใหม่ เป็นไฮเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็ก มีพื้นที่ 2,000 ตร.ม. พร้อมพื้นที่เช่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะเลือกสินค้าประเภทใดไปจำหน่ายบ้าง แต่หลัก ๆ จะเน้นกลุ่มอาหารและของใช้ทั่วไป ปีนี้บิ๊กซีเปิดสาขาใหม่ 4 สาขา ภาคกลาง 3 สาขา และอีสาน 1 สาขา เป็นสาขากลางและเล็กที่ใช้งบฯลงทุน 200-600 ล้านบาท



ปัจจุบันบิ๊กซีมีสาขา 3 รูปแบบ ได้แก่ สแตนด์ดาร์ด พื้นที่ 10,000 ตร.ม. คอมแพ็กต์ 6,000 ตร.ม. และมินิคอมแพ็กต์ 4,500 ตร.ม. มี 67 สาขาทั่วประเทศ แต่ยังไม่มีสาขาในอีก 38 จังหวัด ส่วนใหญ่เป็นจังหวัดรอง ๆ และคาดว่าภายใน 9 ปี จะมีสาขาครบทุกจังหวัด



ด้าน ดร.ดามพ์ สุคนธทรัพย์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด กล่าวในเรื่องเดียวกันว่าทำเลที่เทสโก้ โลตัส มีความสนใจตอนนี้ ยกตัวอย่างเช่น สงขลา กำแพงเพชร ฯลฯ ซึ่งบริษัทจะพิจารณาจากศักยภาพการเติบโตทางการขยายตัวของชุมชน ความต้องการของกลุ่มลูกค้า เป้าหมายในแต่ละพื้นที่ ฯลฯ แต่ละพื้นที่ก็จะมีโมเดลที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าคนในท้องที่นั้น ๆ ต้องการอะไร ขาดอะไร เพื่อจะได้สนองความต้องการได้อย่างตรงจุด อย่างไรก็ตาม ธุรกิจหลักของเทสโก้ฯยังโฟกัสอยู่ที่ไฮเปอร์มาร์เก็ต"



โรบินสัน เจาะ จว.ขนาดกลาง



นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือซีอาร์ซี กล่าวว่า ใน 5 ปีข้างหน้าซีอาร์ซีจะบาลานซ์รายได้ระหว่างกรุงเทพฯและต่างจังหวัดให้เป็นสัดส่วนเท่ากัน จาก 70 : 30 ในปัจจุบัน ซึ่งตลาดต่างจังหวัดมีแนวโน้มการขยายตัวและมีช่องโอกาสได้อีกมาก ทั้งนี้ห้างสรรพสินค้าโรบินสันจะเป็น ตัวหลักในการขับเคลื่อนต่างจังหวัด ซึ่งโรบินสันสาขาตรังที่จะเปิดในเดือนพฤศจิกายนจะเป็นต้นแบบในการขยายสู่จังหวัดที่มีขนาดกลาง โดยเป็นการลงทุนของกลุ่มเซ็นทรัลรีเทลในคอนเซ็ปต์ศูนย์การค้าที่โปร่งโล่ง แนวราบมีจำนวนชั้นน้อยลง แต่มีครบในทุกสิ่งที่ลูกค้าต้องการ



แผนลงทุนในปีนี้ว่าจะยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนสาขาใหม่ที่วางงบฯลงทุนไว้ 4,800 ล้านบาท ซึ่งสาขาที่อยู่ในแผนลงทุนปีนี้ อาทิ โครงการพัฒนาที่ดินสถานทูตอังกฤษ โรบินสันสาขาตรัง-เชียงราย-พิษณุโลก รวมทั้งเซ็นทรัล พระราม 9 ทำให้ภาพการเปิดสาขาใหม่จะทยอยเปิดตั้งแต่ปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงปี 2012



ก่อนหน้านี้ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน มีแผนจะเปิดสาขาในต่างจังหวัด 8 สาขา ด้วยงบฯ 3,000 ล้านบาท นายปรีชา เอกคุณากูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เพื่อให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัดที่มีกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง แต่ที่ผ่านมาโรบินสันยังไม่ได้เข้าไป ซึ่งการขยายสาขาใหม่นี้จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น คือสามารถไปได้ทั้งกับซีพีเอ็น และผู้ลงทุนค้าปลีกอื่น ๆ โดยขนาดของสาขาจะขึ้นอยู่กับพื้นที่และดีมานด์ของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ ซึ่งโมเดลของโรบินสันจะใช้พื้นที่ตั้งแต่ 8,000-20,000 ตร.ม.



เซเว่นฯปูพรมถึงอำเภอ-ตำบล



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากการให้ความสำคัญกับสาขาในต่างจังหวัดที่เป็นหัวเมืองระดับรอง ๆ ลงไปดังกล่าว ปัจจุบันผู้ประกอบการร้านสะดวกซื้อก็หันมาให้ความสำคัญกับชานเมือง รวมถึงการรุกคืบเข้าไปเปิดสาขาถึงอำเภอหรือตำบล



นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านอิ่มสะดวกเซเว่น อีเลฟเว่น กล่าวว่า "ทิศทางการขยายสาขาของเซเว่นฯจะเน้นไปตามชุมชนใหญ่ ๆ ทั่วประเทศ ทั้งอำเภอ กิ่งอำเภอ หรือตำบล ขณะนี้บริษัทจะเร่งสร้างเครือข่าย คือศูนย์กระจายสินค้าตามภาคต่าง ๆ เมื่อมีสาขากระจายตามพื้นที่ต่าง ๆ มากขึ้นก็ต้องดูว่าลูกค้าแต่ละพื้นที่ต้องการอะไร ดังนั้นแต่ละภาคจึงต้องมีมีออฟฟิศย่อย ๆ เพื่อหาสินค้าขายดีของแต่ละภาคมาขายในร้านเพราะแต่ละภาคบริโภคสินค้าไม่เหมือนกัน"



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปีที่ผ่านมาเซเว่นฯประกาศขยายสาขาให้ครบ 7,000 แห่ง จากปัจจุบันมีอยู่มากกว่า 5,300 แห่ง เช่นเดียวกับร้าน 108 ช็อป ของเครือสหพัฒน์ที่ ตั้งเป้าจะเปิดสาขาอีก 400 แห่ง จากที่มีอยู่ 700 สาขา โดยทั้ง 2 เครือทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ผลิตสินค้าและช่องทางจำหน่าย ดังนั้นการมุ่งเพิ่มช่องทางจำหน่ายเพื่อขายสินค้าจะยิ่งทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะที่เบอร์ 3 แฟมิลี่มาร์ท ที่ปัจจุบันมีอยู่ราว 700 สาขา ก็เริ่มขยายสาขาออกไปตามเมืองท่องเที่ยวมากขึ้น เช่น เกาะสมุยที่มีร้านแฟมิลี่มาร์ท อยู่หลายสาขา




Reblog this post [with Zemanta]

Saturday, March 6, 2010

Big C doubles investment in new stores

{{flagicon|THA}} Big C Supercenter PLC.Image via Wikipedia

After slowing its investment last year, Big C Supercenter Plc has announced plans to almost double its investment to 2 billion baht for outlet expansion this year.

A smaller Big C store format will also be launched this year to speed up the expansion.

Rumpa Kumhomreun, the company's chief financial officer and vice-president for accounting and finance, said Big C was ready to make big investments again as sentiment has improved over the global economy.

Last year, the company spent 1.1 billion baht to open one new outlet.

The company also expects the purchasing power of low-income people to improve this year with a better export and tourism outlook and higher prices for agricultural products.

"We will expand our business regularly this year. We have seen signs of economic recovery since the fourth quarter last year, when our performance was positive as well," she said.

From 2010 to 2012, the company plans to open three or four new hypermarkets per year, plus some smaller store formats.

"Out of 76 provinces in Thailand, Big C has an opportunity to expand into at least 38 provinces. There is potential for hypermarkets here and the market share of the modern trade is still under 50%, compared to 70% to 80% in some developed countries," said Ms Rumpa.

Various retail formats can be used to suit local communities and specific market situations.

Jariya Chirathivat, the company's vice-president, said Big C will open four or five stores this year. About three or four stores will be under the standard format and the rest will be under a new format with 2,000 square metres of space - the smallest size the company has ever used.

The 2,000-sq-m format will be introduced in some central provinces. This smallest size will allow the company to speed up its expansion into small cities and districts.

Currently, Big C operates 67 retail stores with three formats - standard (from 8,000 sq m and up), compact store (6,000 sq m) and mini-compact (4,000 sq m).

It also operates 11 Mini Big C outlets and 19 Pure drug stores.

Sales of Big C last year were 68.05 billion baht, up 1.1% from the year before. Net profit also increased marginally, to 2.86 billion baht from 2.85 billion the year before.

The economic downturn and unfavourable market conditions resulted in sales in some quarters falling for the first time since the 1997 crisis. But Big C can now grow again, said Ms Rumpa.

This year the company expects its sales to rise by 4% to 5% .

Shares of Big C closed yesterday on the Stock Exchange of Thailand at 44.0 baht, up 1.50 baht, in trade worth 61.2 million baht.


Reblog this post [with Zemanta]

LinkWithin

Related Posts with Thumbnails