Pages

Tuesday, April 12, 2011

THAI WATSADU TO OPEN 5 STORES YEARLY

ในวงการธุรกิจค้าปลีกและศูนย์การค้า กล่าวได้ว่า ตระกูลจิราธิวัฒน์ ผู้บุกเบิกและก่อตั้งศูนย์การค้าเซ็นทรัล, บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ และท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ถือเป็นยักษ์ใหญ่ที่ยังไม่มีใครสามารถล้มแชมป์ลงได้ เห็นได้จากในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา มีการขยายการลงทุนแตกสาขาใหม่ ๆ กระจายครอบคลุมทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งต่างจังหวัดจำนวนนับไม่ถ้วน

แต่เมื่อแตกไลน์ธุรกิจมาเจาะตลาดโมเดิร์นเทรดวัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้าน ด้วยการปั้นแบรนด์ "โฮมเวิร์ค" ขึ้นมาต่อกรกับเจ้าตลาดเดิม "โฮมโปร" ในกลุ่มแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ที่บุกตลาดนี้มาก่อนล่วงหน้า เห็นได้ชัดว่า การทำตลาดของโฮมเวิร์คในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ยังเป็นรองค่ายคู่แข่งอยู่หลายขุม

ล่าสุด ตระกูลจิราธิวัฒน์ตัดสินใจอีกรอบด้วยการชูแบรนด์ใหม่ "ไทวัสดุ" ขึ้นมาเจาะตลาดวัสดุก่อสร้าง โฟกัสไปที่กลุ่มผู้รับเหมา สถาปนิก วิศวกร และลูกค้ารายย่อยระดับกลาง-ล่าง โดยยึดหัวหาดทำเลย่านบางบัวทองเป็นฐานที่มั่นแห่งแรกเมื่อ 2 ปีก่อน และเปิดสาขาแห่งที่ 2 เพิ่มในทำเลสุขาภิบาล 3 และสาขาแห่งที่ 3 ย่านบางนา ที่เพิ่งตัดริบบิ้นเปิดตัวไปเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา บนเนื้อที่กว่า 40 ไร่ ใช้เงินลงทุนกว่า 900 ล้านบาท

จากผลตอบรับค่อนข้างดีเกินคาด ทำให้ "ไทวัสดุ" กลายเป็น "หัวรบ" ธุรกิจใหม่ให้กับกลุ่มเซ็นทรัลที่จะส่งมาแย่งเค้กก้อนโตในตลาดวัสดุก่อสร้างที่มีมูลค่าตลาดรวมสูงถึง 50,000 ล้านบาท

"สุทธิสาร จิราธิวัฒน์" กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซี อาร์ ซี เพาเวอร์ รีเทล จำกัด ระบุว่า มีเป้าหมายเปิดสาขาเพิ่ม 3-5 สาขาต่อปีในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล รวมทั้งหัวเมืองใหญ่และรองที่มีศักยภาพทั่วประเทศ สเกลการลงทุนแต่ละสาขาจะต้องมีขนาดพื้นทกว่า 30,000 ตารางเมตร ใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 900 ล้านบาท

หากเป็นไปตามแผน คาดว่าภายใน 10-15 ปีจากนี้ จำนวนสาขาของร้านไทวัสดุทั่วประเทศจะมีไม่ต่ำกว่า 60 สาขา ครอบคลุมพื้นที่เป้าหมายทั้งหมด



"สุทธิสาร" กล่าวว่า สำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ยืนยันว่ามีความแตกต่างกันชัดเจนระหว่างโฮมเวิร์คกับร้านไทวัสดุ ทั้งภาพลักษณ์ ขนาดพื้นที่ และตัวสินค้า โดยโฮมเวิร์คจะจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการตกแต่งบ้านเป็นหลัก เน้นเจาะตลาดลูกค้าในเมืองที่มีกำลังซื้อสูง เช่น กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, พัทยา, ภูเก็ต, ชลบุรี เป็นต้น งบฯการลงทุนต่อสาขาประมาณ 1,200 ล้านบาท พื้นที่ใช้สอย 8,000-9,000 ตารางเมตร

ขณะที่ร้านไทวัสดุเน้นจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้างพื้นฐานที่ใช้ในชีวิตประจำวัน จับตลาดย่านชานเมือง มีลูกค้าหลักมาจากกลุ่มผู้รับเหมาในสัดส่วน 45% เจ้าของบ้าน 40% เจ้าของโครงการอีก 10% อีก 5% เป็นสำนักงาน

"หลายคนสงสัยว่า เราจะหยุดทำตลาดโฮมเวิร์ค แล้วมาบุกร้านไทวัสดุแทน อันนี้ยืนยันว่า เรายังเดินหน้าต่อ อย่างน้อยต้องเปิดสาขาใหม่ให้ได้ 1 แห่งต่อปี แต่ด้วยคอนเซ็ปต์ของโฮมเวิร์คที่เน้นตลาดในเมือง ทำให้การหาทำเลทำได้ยาก แต่สำหรับร้านไทวัสดุสามารถทำได้ง่ายกว่า เพราะพื้นที่ชานเมืองมีให้เลือกเยอะ ขึ้นอยู่กับว่าจะมีความเหมาะสมหรือเปล่าเท่านั้น"

"สุทธิสาร" กล่าวด้วยว่า ร้านไทวัสดุมีจุดแข็ง เป็นร้านที่จำหน่ายสินค้าภายใต้คอนเซ็ปต์สั้น ๆ คือครบ-ถูก-ดี มีสินค้าให้ลูกค้าได้เลือกครบทุกความต้องการมากกว่า 1 แสนรายการ สาเหตุที่ทำให้เราขายสินค้าได้ในราคาที่ถูก มาจากการสั่งซื้อสินค้าจากซัพพลายเออร์แบบ

บิ๊กลอต เป็นจุดแข็งที่เชื่อว่าคู่แข่งทำตามได้ยาก อีกกลยุทธ์ทางการตลาดที่ทำให้มั่นใจว่าร้านไทวัสดุจะเป็นหัวรบใหม่ที่สามารถสู้ศึกในตลาดวัสดุก่อสร้างได้ไม่ยาก คือสินค้าที่นำมาจำหน่าย จะเน้นการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ภายใต้แบรนด์ของตัวเอง (เฮาส์แบรนด์)

ถามถึงเป้าหมายยอดขายกลุ่มวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านจากแบรนด์ "โฮมเวิร์ค" และ "ไทวัสดุ" ในปีนี้ "สุทธิสาร" ตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 10% เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ที่ทำได้ประมาณ 4,600 ล้านบาท แบ่งเป็นโฮมเวิร์ค 3,900 ล้านบาท และร้านไทวัสดุ 900 ล้านบาท

No comments:

Post a Comment

LinkWithin

Related Posts with Thumbnails