Pages

Monday, November 30, 2009

CPN เบรกคอมมิวนิตี้มอลล์ ควักกระเป๋าปักธงจีน-อินเดีย


ซีพีเอ็นเบรกคอมมิวนิตี้มอลล์ ควักกระเป๋าปักธงจีน-อินเดีย








"เซ็นทรัลพัฒนา" ยกเลิกแผนโครงการคอมมิวนิตี้มอลล์ ศรีนครินทร์ "กอบชัย" ชี้โครงการไม่คุ้มลงทุน เล็งเปิดโมเดลใหม่-ทำเลใหม่ พร้อมสรุปแผนบุกเมืองจีนด้วยคอนเซ็ปต์ลงทุนร่วม ชั่งใจปิดสาขาลาดพร้าวรีโนเวตครั้งใหญ่





นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น กล่าวว่า แผนการลงทุนของกลุ่มจะยังคงเดินหน้าต่อเนื่องทั้งแผนการขยายสาขาในประเทศและต่างประเทศ โดยปลายปีนี้เตรียมจะเปิดศูนย์ขอนแก่นอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะเป็นสาขาที่ 15 ด้วยงบฯลงทุน 4,000 ล้านบาท ควบคู่กับการลงทุนในต่างประเทศที่จะเริ่มที่เมืองจีนก่อนเป็นที่แรก หลังจากศึกษารูปแบบการเข้าไปลงทุนในหลาย ๆ ทาง และได้สรุปว่าการร่วมทุนกับพันธมิตรน่าจะเป็นรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมกับการขยายธุรกิจของซีพีเอ็นในต่างประเทศ เบื้องต้นได้วางงบฯลงทุนไว้ 1,000 ล้านบาท







ควบคู่กับการเร่งรีโนเวตเพื่อปรับสาขาเดิมที่มีให้ทันสมัย โดยเฉพาะเซ็นทรัลลาดพร้าวและปิ่นเกล้า แนวทางการปรับครั้งใหญ่ของศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว หลังจากได้ต่อสัญญากับการรถไฟฯเป็นเวลา 20 ปี นั้นมีทางเลือกอยู่ 2 รูปแบบ



คือ 1.ปิดทั้งศูนย์เพื่อรีโนเวตทั้งหมดรอบเดียว ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาเพียง 6 เดือน และแนวทางที่ 2.จะทยอยปิดทีละส่วน แต่อาจใช้เวลานานถึง 2 ปี ซึ่งที่ผ่านมา ซีพีเอ็นจะถนัดและใช้แนวทางการปรับแบบปิดทีละส่วนมาโดยตลอด



"จะได้ข้อสรุปในต้นปีหน้า ซึ่งบอร์ดกำลังพิจารณาเพื่อหาข้อสรุปและเปรียบเทียบในแง่ของประโยชน์ทางธุรกิจทั้ง 2 แนวทาง นอกจากนี้สำหรับสาขาปิ่นเกล้าที่มีแผนจะรีโนเวต บริษัทจะใช้วิธีทยอยปิดทีละส่วนซึ่งได้เริ่มไปแล้ว"



สำหรับแผนการลงทุนในรูปแบบของคอมมิวนิตี้มอลล์ ซึ่งก่อนหน้านี้ ซีพีเอ็นมีแผนจะเตรียมพัฒนานำร่องบนถนนศรีนครินทร์ นายกอบชัยกล่าวว่า ได้ยกเลิกแผนการลงทุนบนพื้นที่ดังกล่าวไป เนื่องจากผลการศึกษาพบว่าอาจไม่คุ้มต่อการลงทุน บริษัทจึงได้เล็งที่จะเปิดโมเดลการลงทุนแบบใหม่ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมและความต้องการของตลาด บนทำเลพื้นที่ใหม่ ๆ



ทั้งนี้ แผนการลงทุนในโครงการคอมมิวนิตี้ มอลล์ดังกล่าว ซีพีเอ็นระบุว่าจะลงทุนด้วยงบฯ 1,000 ล้านบาท ภายใต้ชื่อเซ็นทรัลไลฟ์ เป็นรูปแบบโอเพ่นแอร์บนพื้นที่กว่า 5.6 หมื่น ตร.ม. ซึ่งตามแผนงานจะเปิดให้บริการภายในปี 2553



อย่างไรก็ตามแม้ว่าปีหน้าจะไม่มีการเปิดสาขาใหม่ ๆ เนื่องจากตลอดทั้งปีนี้ได้เปิดไปแล้ว 4 สาขา คือ แจ้งวัฒนะ ชลบุรี พัทยา บีช และขอนแก่น ทำให้การทำตลาดตลอดทั้งปีหน้าจะเพิ่มน้ำหนักที่กิจกรรมการตลาดและอีเวนต์ในแต่ละศูนย์ เพิ่มสีสันและบรรยากาศภายในศูนย์ให้คึกคักและมีความเคลื่อนไหวต่อเนื่อง



นายนริศ เชยกลิ่น รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการเงินและบัญชี บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า ปีหน้าบริษัทตั้งงบฯลงทุนเพิ่มเป็น 7.5 พันล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะใช้งบฯลงทุน 6 พันล้านบาท ซึ่งจะนำไปใช้ในการสร้างศูนย์การค้าแห่งใหม่ในประเทศจีน รวมทั้งการศึกษาแผนการลงทุนในอินเดียอีกครั้ง หลังจากที่ชะลอไปในช่วงก่อนหน้านี้ ส่วนที่เวียดนาม บริษัทยังให้ความสนใจ แต่ขณะนี้ราคาที่ดินสูงมากจึงต้องชะลอออกไปก่อน



อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีการเจรจาซื้อที่ดิน หรือซื้อศูนย์การค้าเพื่อขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง หลังจากซื้อที่ดินในเชียงรายแล้ว ก็ยังซื้อที่ดินในหัวเมืองใหญ่อีก 1 แห่ง ทำให้ปีนี้ใช้งบฯลงทุนเพิ่มเป็น 9.2 พันล้านบาท สำหรับศูนย์การค้าแห่งใหม่ในจังหวัดเชียงราย คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในราวกลางปี 2554 ส่วนเซ็นทรัล เชียงใหม่ แห่งที่ 2 จะเริ่มลงมือก่อสร้างในกลางปี 2553 และมีแผนปรับปรุงห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล พระราม 3 หลังจากเปิดให้บริการมากว่า 10 ปีแล้ว



"ปีหน้าจะลงทุนก่อสร้างเซ็นทรัล พัทยา บีช 1.5 พันล้านบาท เซ็นทรัล ขอนแก่น 860 ล้านบาท เซ็นทรัล พระราม 9 ประมาณ 1 พันล้านบาท และ enhancement project 2.3 พันล้านบาท potential project 1.85 พันล้านบาท ซึ่งเงินลงทุนจะมาจากกระแสเงินสดที่มีปีละ 4-5 พันล้านบาท"

TESCO ได้ใจไล่บี้ Counter Service รัวโปรโมชั่น5บาทยาวเพิ่มพันธมิตรขยายฐานลูกค้า



ตลาดรับชำระค่าบริการสาธารณูปโภค ส่อแววระอุข้ามปี "บิลเพย์เมนต์" จากTesco Lotusได้ใจ ยิงยาวโปรโมชั่น 5 บาท/บิล ไล่บี้พี่เบิ้ม "เคาน์เตอร์เซอร์วิส" ของเซเว่นฯ พร้อมเดินหน้าขยายพาร์ตเนอร์กลุ่มหน่วยงานราชการ ชนิดหายใจรดต้นคอ เพื่อเข้าใกล้ไลฟ์สไตล์ลูกค้า Tesco Lotus ชูจุดแข็งระบบออนไลน์-ช่องทางสะดวก หวังชิงเค้ก 5,000 ล้าน ด้าน เคาน์เตอร์เซอร์วิส เมินเล่นสงครามราคา ขอทำตลาดเชิงลึกยิงโปรโมชั่นเป็นระยะ



วันนี้ ตลาดรับชำระค่าบริการสาธารณูปโภคที่มีมูลค่ามากกว่า 5,000 ล้านบาท ที่เคาน์เตอร์เซอร์วิส บริษัทในเครือซีพี ออลล์ หรือเซเว่นอีเลฟเว่น ครอบครองตลาดมายาวนาน แต่ช่วง 1-2 ปีมานี้ เจ้าตลาดกำลังถูกท้าทายจากค่ายใหญ่Tesco Lotus ที่เปิด "บิลเพย์เมนต์" ให้บริการรับชำระค่าสาธารณูปโภค ด้วยอัตราค่าบริการเพียง 5 บาท/บิล ขณะที่ค่ายอื่น ๆ จะคิดค่าบริการ 10-15 บาท จนทำให้เกิดการร้องเรียนว่าตั้งราคาต่ำกว่าทุน แต่เมื่อทางการตรวจสอบแล้ว "บิลเพย์เมนต์" ก็รอดพ้นจากข้อกล่าวหานี้ และสามารถทำราคาที่ 5 บาทได้ต่อไป ส่งผลให้การแข่งขันทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น





เพิ่มพาร์ตเนอร์-ขยายฐานลูกค้า





นายปิยะพงษ์ เวชชเศรษฐนนท์ ผู้บริหารฝ่ายบริการเสริมธุรกิจค้าปลีก (Retail Services) บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด ผู้บริหารTesco Lotus เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ปัจจุบันบริษัทมีพาร์ตเนอร์ที่ใช้บริการบิลเพย์เมนต์ทั้งสิ้น 72 ราย ครอบคลุมระบบที่ชำระบริการด้วยบาร์โค้ด 80-90% และปีหน้าวางแผนเพิ่มพาร์ตเนอร์ให้ครบ 85 ราย หลัก ๆ จะเป็นบริการที่อยู่ใกล้ตัวลูกค้า และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ให้ได้มากที่สุด รวมทั้งยังมีแผนขยายบริการใหม่ ๆ เช่น การรับชำระค่าลงทะเบียนนักศึกษา การชำระภาษี





นายปิยะพงษ์กล่าวว่า แต่ละปีจะสำรวจว่าลูกค้าอยากได้อะไรเพิ่มเติม นอกเหนือจากบริการชำระค่ามือถือ ค่าน้ำ ค่าไฟ ฯลฯ โดยเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนได้เปิดให้บริการเติมเงินเพื่อซื้อชั่วโมงเกมออนไลน์ ซึ่งตลาดนี้มีมูลค่าสูงถึง 3,000 ล้านบาท ล่าสุดได้ใช้งบฯ 30 ล้านบาท พัฒนาระบบเพื่อเปิดให้บริการชำระค่าภาษีต่อทะเบียนรถร่วมกับกรมการขนส่งทางบก เมื่อลูกค้าชำระเงินเรียบร้อยแล้ว กรมการขนส่งฯจะจัดส่งป้ายวงกลมไปให้ที่บ้านภายใน 3 วันทำการ








"สำหรับบริการนี้ ตั้งเป้าว่าจะมีลูกค้ามาชำระภาษีที่เราประมาณเดือนละ 10,000 บิล หรือปีละกว่า 100,000 บิล"





ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ด้านเคาน์เตอร์เซอร์วิส เมื่อเดือนกรกฎาคม ได้จับมือกับกองบัญชาการตำรวจนครบาล เปิดให้บริการชำระค่าปรับ กรณีผู้ใช้รถฝ่าฝืน กฎจราจร และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ยังได้เพิ่มบริการชำระค่ารถทัวร์-ตั๋วเครื่องบิน เช่น การบินไทย นกแอร์ แอร์เอเชีย เชิดชัยทัวร์ นครชัยแอร์ ฯลฯ





งัดค่าบริการ 5 บาท/บิลไล่บี้





นายปิยะพงษ์กล่าวอีกว่า จุดยืนสำคัญของบริการบิลเพย์เมนต์คือเรื่องราคา ซึ่งจะใช้โปรโมชั่น 5 บาท ยิงยาวถึงปีหน้า เพราะเป็นโปรโมชั่นที่ได้รับการตอบรับดี ช่วยลูกค้าประหยัดเงินได้มาก ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ แต่จะใช้ตลอดทั้งปีหรือ ไม่ต้องพิจารณาอีกครั้ง ซึ่งจะทำควบคู่กับการทำโปรโมชั่นอื่น ๆ เช่น จ่าย 2 บิล ในราคา 5 บาท สำหรับลูกค้าที่มาชำระค่าบริการค่าไฟร่วมกับค่าบริการอื่น ๆ รวมถึงการคิดค่าบริการชำระค่าภาษีต่อทะเบียนรถเพียง 5 บาท จากราคาเต็ม 20 บาท เมื่อลูกค้ามาใช้บริการตั้งแต่วันนี้ถึง 28 กุมภาพันธ์ปีหน้า





นอกจากนี้ ในจำนวน 72 พาร์ตเนอร์ ยังมีพาร์ตเนอร์ประมาณ 20 ราย ที่ออกค่าใช้จ่ายในการบริการแทนลูกค้า เช่น เอไอเอส ฮัทช์ ฯลฯ ลูกค้าจึงสามารถมาชำระค่าบริการที่Tesco Lotusได้ฟรี





"ต้นทุนจริง ๆ ของบิลเพย์เมนต์ ไม่เยอะเท่าไหร่ เราสามารถคิดค่าบริการในราคา 5 บาทได้ โดยไม่ขาดทุน และคาดว่าจะคืนทุนภายในปีหน้า จากที่ลงทุนกับระบบในครั้งแรก 50-70 ล้านบาท"





ก่อนหน้านี้ นายวีรเดช อัครผลพานิช ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทไม่มีนโยบายแข่งขันเรื่องราคา เนื่องจากอยู่ในตลาดมานาน มีฐานลูกค้าค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงให้ความสำคัญกับการวางแผนการทำตลาดเชิงลึกมากกว่า โดยจะมีแคมเปญส่งเสริมการขายออกมาบ้าง เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการความคุ้มค่าคุ้มราคา





เผยจุดให้บริการเพียบ-ลูกค้าสะดวก





นายปิยะพงษ์ให้ข้อมูลอีกว่า การรับชำระค่าบริการสาธารณูปโภค เป็นตลาดที่ค่อนข้างใหญ่ ที่ผ่านมา บริษัทได้ลงทุนเรื่องระบบมาก เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า และสามารถชำระค่าบริการได้ทุกช่องทาง ขณะที่บางรายอาจจะให้บริการได้เพียงช่องทางเดียว หรือ 2 ช่องทาง แต่ลูกค้าสามารถใช้บริการของบิลย์เพย์เมนต์ได้ทุกสาขา ทุกฟอร์แมต ทุกแคชเชียร์ แม้กระทั่งเคาน์เตอร์ลูกค้าสัมพันธ์ รวมประมาณ 4,000 จุด








นอกจากนี้ ยังมีระบบออนไลน์ที่ให้บริการแบบเรียลไทม์ เมื่อลูกค้ามาชำระบริการที่สาขา ยอดก็จะถูกตัดทันที ถ้าเป็นบัตรเครดิต ลูกค้าก็สามารถใช้บัตรเครดิตได้ภายใน 15 นาที หลังชำระ ไม่ต้องรอถึงวันรุ่งขึ้น





"เราพยายามใช้ระบบออนไลน์ให้มากที่สุด เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า อย่างตลาดโทรศัพท์ ซึ่งแข่งขันกันสูง เราก็ให้บริการออนไลน์ โดยไม่ต้องใช้บัตร ลูกค้าเพียงแค่บอกเบอร์โทรศัพท์เครือข่าย และจำนวนเงินที่ต้องการเติม เช่นเดียวกับเกมออนไลน์"





พร้อมกันนี้ นายปิยะพงษ์ยังกล่าวถึงแนวทางสร้างแบรนด์ว่า จะเน้นการสร้างการรับรู้แบรนด์บิลเพย์เมนต์มากขึ้น โดยจะพยายามเกาะกระแสไปกับแบรนด์Tesco Lotus ซึ่งกำลังเน้นย้ำคอนเซ็ปต์ เราใส่ใจคุณ โดยทำให้ลูกค้ารู้ว่า วันนี้Tesco Lotusสามารถให้บริการบิลเพย์เมนต์ได้อย่างครอบคลุม โดยจากนี้ไปจะเน้นการสื่อสารกับลูกค้า เป้าหมายมากขึ้น เพื่อให้ลูกค้ารู้ว่าบิลเพย์เมนต์มีบริการอะไรบ้าง





"ตอนนี้คงยังไม่ถึงขั้นใช้สื่อที่เป็นแมส จะเลือกเจาะบางช่องทางที่เข้าถึงลูกค้าโดยตรง หลัก ๆ คือเว็บไซต์ของTesco Lotus ที่มีการเพิ่มข้อมูลเกี่ยวกับบริการต่าง ๆ"





ตลาดแข่งขันคึกคัก





นายปิยะพงษ์กล่าวต่อไปว่า มูลค่าของตลาดรับชำระค่าสาธารณูปโภคของปีที่แล้วอยู่ที่ 960 ล้านบิล หรือเดือนละ 80 ล้านบิล คาดว่าตลอดทั้งปี มูลค่าตลาดรวมจะเติบโตขึ้น 5-10% โดยเฉพาะกลุ่มบัตรเครดิตและสินเชื่อ สำหรับTesco Lotusมีมาร์เก็ตแชร์อยู่ 2-3% หรือประมาณ 2 ล้านบิลต่อเดือน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วเกือบ 100% และตั้งเป้าหมายว่าปีหน้าการเติบโตจะเพิ่มขึ้นเกือบ 50% ส่วนเคาน์เตอร์เซอร์วิส ซึ่งเป็นผู้นำตลาดมีมาร์เก็ตแชร์อยู่มากกว่า 10%





"คู่แข่ง นอกจากเคาน์เตอร์เซอร์วิส ก็ยังมีเพย์แอตโพสต์ (ไปรษณีย์ไทย) ส่วนทีโอทีก็พยายามจะสร้างจุดชำระบริการของตัวเอง รวมถึงธนาคารต่าง ๆ ที่ลูกค้าสามารถไปชำระค่าบริการต่าง ๆ ด้วยตนเองก็ได้ หรือตัดจากบัญชีแบบอัตโนมัติ แต่ในแง่ลูกค้ายังมีจำนวน 40-50% ที่นิยมไปจ่ายค่าบริการที่สาขาเอง เช่น ที่การไฟฟ้า ประปา ฯลฯ" นายปิยะพงษ์กล่าว





ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับ โปรโมชั่นของเคาน์เตอร์เซอร์วิส ที่ใช้ในช่วง 26 พฤศจิกายน-5 มกราคม ลูกค้ารับสิทธิ์แลกซื้อคาลพิสแลคโตะ 300 ม.ล. 1 ขวด ในราคา 15 บาท จากปกติ 20 บาท หรือ นมเปรี้ยวเคซีไอ 180 ม.ล. 2 ขวด ราคา 15 บาท จากปกติ 20 บาท ในร้านเซเว่นฯ ทั้ง 5,200 สาขา





นอกจากผู้เล่นรายหลัก ๆ ได้แก่เคาน์เตอร์เซอร์วิส เพย์แอตโพสต์ บิลเพย์เมนต์ ฯลฯ ในตลาดรับชำระค่าสาธารณูปโภค ยังมีผู้ประกอบการอื่น ๆ ที่สนใจตลาดนี้ เช่น เอ็มเปย์สเตชั่นของเอไอเอส จัสท์เพย์ของทีโอที ฯลฯ




Reblog this post [with Zemanta]

Sunday, November 29, 2009

CENTRAL VS THE MALL VS SIAM EVENT

Central World - Merry X'mas & Happy New Year 2...Image by Honou via Flickr


ด้วยสัดส่วนยอดขายที่มีมากกว่า 40% ในไตรมาสสุดท้ายของปี กลายเป็นฉนวนจุดประกายให้ผู้ประกอบการแต่ละค่าย เทกลเม็ดต่างๆ เพื่อฉุดกำลังซื้อให้หันเหมายังฝ่ายของตนเอง แต่ไฮไลต์สำคัญของห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้ายังคงอยู่ที่การจัดอีเวนต์ มาร์เก็ตติ้ง ที่จะมาสร้างสีสัน เป็นไม้เด็ดกระตุ้นกำลังซื้อของลูกค้าในแต่ละพื้นที่



Central "Gift wonderland" สีสันปั้นยอดขาย



ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัล กล่าวว่า ซีพีเอ็นให้ความสำคัญกับการจัดอีเวนต์อย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงสิ้นปี ซึ่งเป็นไฮซีซันของธุรกิจค้าปลีก โดยในโค้งท้ายของปีนี้บริษัทใช้งบประมาณกว่า 150 ล้านบาทในการจัดอีเวนต์ปลุกกระแสความสนุกสนาน สร้างสีสันให้กับศูนย์การค้าทุกศูนย์ ซึ่งมีการจัดอีเวนต์ต่างๆ รวมกว่า 200 อีเวนต์ ภายใต้แคมเปญ CentralPlaza Gift Wonderland 2010 ซึ่งกิจกรรมต่างๆ ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรจำนวนมาก อาทิ MAZDA , ธนาคารกสิกรไทย , CITIBANK , ไทยเบฟเวอเรจ เป็นต้น





"การจัดอีเวนต์ในโค้งท้ายนี้ จะช่วยให้ลูกค้ามีความเพลิดเพลิน และใช้จ่ายมากขึ้น แต่ต้องมีกิจกรรมส่งเสริมการขายที่น่าจูงใจ และสร้างกระแสได้ ซึ่งนอกจากอีเวนต์ต่างๆที่จัดขึ้นแล้ว ยังเน้นการตกแต่งภายในให้มีสีสัน เป็นจุดถ่ายภาพ เพื่อสร้างมู้ดในการจับจ่ายให้กับลูกค้าด้วย"




โดยเฉพาะที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ยังคงเป็นไฮไลต์ของช่วงเทศกาลฉลองส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ซึ่งที่นี่นอกจากจะเป็นจุดนัดพบในการร่วมนับถอยหลังเข้าสู่ปี 2010 ที่นี่ยังมีการจัดแคมเปญ The World of Happiness @ CentralWorld โดยมีกิจกรรมมากกว่า 100 กิจกรรมในช่วง 2 เดือน เพื่อสร้างสีสันและดึงดูดให้ลูกค้าทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศให้เข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นด้วย



The Mall -- Mix & Match แบบโดนใจ



นอกจากอีเวนต์ มาร์เก็ตติ้งจะดึงให้ลูกค้าหันมาสนใจ ยังช่วยสร้างมู้ดในการจับจ่ายให้และกลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ Integrated Marketing Power ที่เดอะ มอลล์ กรุ๊ป นำมาเป็นสูตรสร้างยอดขายในโค้งท้ายของปีนี้ด้วย

"การใช้กลยุทธ์ Integrated Marketing Power เป็นการผสมผสานแนวคิดทางการตลาดต่างๆ มาใช้เป็นเครื่องมือในการกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดการจับจ่าย ไม่ว่าจะเป็นอีโมชันนัล มาร์เก็ตติ้ง , โปรโมชัน มาร์เก็ตติ้ง , เซอร์วิส มาร์เก็ตติ้ง และอีเวนต์ มาร์เก็ตติ้ง" นายชำนาญ เมธปรีชากุล ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสสายการตลาด เดอะ มอลล์ กรุ๊ป กล่าว




การจัดอีเวนต์ในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้ ธีมหลักเป็นเรื่องของกิจกรรมที่จะมาสร้างสีสัน โดยทั้ง 3 ห้างจะมีรูปแบบการตกแต่งตามธีมที่แตกต่างกันไป แต่อยู่ภายใต้แนวคิดเดียวกันได้แก่ Let's make our small world smile ที่ย้อนความทรงจำที่มีแต่ความสุขในวัยเด็ก และนำมาตกแต่งเป็นดิสเพลย์ จุดถ่ายภาพ โดยมีตุ๊กตาเป็นสัญลักษณ์สื่อแทนความสุข โดยเดอะ มอลล์ เน้นธีมตุ๊กตานานาชาติในดินแดนแห่ง Small World ที่ดิสนีย์แลนด์ , ดิ เอ็มโพเรียม ตกแต่งด้วยต้นคริสต์มาสยักษ์ ตุ๊กตานางฟ้า เทวดา และพารากอน ตกแต่งด้วยตุ๊กตาพอซซาเลนในชุดนานาชาติ



สยาม ย้ำภาพแฟชั่นอีเวนต์



อีกหนึ่งอีเวนต์ มาร์เก็ตติ้งที่น่าสนใจ และน่าจะเป็นสีสันในช่วงโค้งท้ายของปีนี้ ได้แก่ งานมหกรรมแฟชั่นอีเวนต์จากดีไซเนอร์ชั้นแนวหน้า ที่ "สยามเซ็นเตอร์" นำมาเอาใจนักช็อปแฟชั่นนิสต้า และมาสร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งในสไตล์ Real Experience Dynamic ที่มีเป้าหมายเพื่อโกยยอดขายเพิ่มโดยเฉพาะ




นางศิริเพ็ญ อินทุภูติ ผู้บริหารสายการตลาดและประชาสัมพันธ์ สยามเซ็นเตอร์ เล่าว่า ในช่วงท้ายปี ลูกค้าให้ความสำคัญและเลือกจับจ่ายมากขึ้นในทุกกลุ่มสินค้า ดังนั้นสยามเซ็นเตอร์ จึงมุ่งเน้นการทำกลยุทธ์เพื่อสร้างประสบการณ์และบรรยากาศการช็อปปิ้ง ภายใต้แนวคิด Real Experience Dynamic โดยเน้นที่กลุ่มแฟชั่นอีเวนต์เป็นหลัก เพื่อสร้างความแตกต่างไม่เหมือนใคร ผนวกกับโปรโมชันที่จัดทำขึ้นแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ที่เป็นความร่วมมือระหว่างสยามเซ็นเตอร์กับซัพพลายเออร์ที่เป็นพันธมิตรเท่านั้น




โดยมหกรรมอีเวนต์แฟชั่นที่จัดขึ้น จะต่อเนื่องตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงสิ้นปี 2552 เริ่มต้นจากแฟชั่นโชว์อินเตอร์แบรนด์ชั้นนำในคอนเซ็ปต์ Mystique ที่รวมแฟชั่นเสื้อผ้าแบรนด์เนมกว่า 10 แบรนด์ อาทิ Esprit , Karen Millen , LeSportsac เป็นต้น การเปิดตัวบูติกแบรนด์ชื่อดังจากฮ่องกง another F.C.K แฟล็กชิพสโตร์แห่งแรกในประเทศไทยที่ใช้งบลงทุนกว่า 40 ล้านบาท , คอลเลกชันจากดีไซเนอร์ไทย 27 Friday และ 27 Nov. , เป็นต้น




"ปกติการจัดอีเวนต์แต่ละครั้งสามารถดึงดูดให้ลูกค้ามาใช้บริการเพิ่มได้เฉลี่ย 20% แต่ในช่วงไตรมาสสุดท้าย หากจัดอีเวนต์จะมีลูกค้าเข้ามาเพิ่ม 30% ทำให้ห้างแต่ละห้างต้องจัดอีเวนต์ต่างๆ เพิ่มมากขึ้น แต่อีเวนต์ที่จัดก็ต้องลิงก์ถึงภาพลักษณ์ของศูนย์ด้วย"




Reblog this post [with Zemanta]

Saturday, November 28, 2009

TESCO LOTUS ส่งคูปองCLUB CARDขอบคุณลูกค้าทั่วไทยครั้งแรก รวมมูลค่ากว่า 230 ล้านบาท



Tesco Lotus จัดส่งจดหมายClub Cardพร้อมคูปองแก่ลูกค้าผู้สมัครและใช้Club Cardในรอบ 3 เดือนแรก รวมมูลค่ามากกว่า 230 ล้านบาท โดยลูกค้าที่ใช้Club Cardก่อนวันสรุปยอดสะสมแต้มครั้งแรกในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2552 จะได้รับสิทธิประโยชน์จากTesco Lotus ซึ่งประกอบด้วยคูปองแทนเงินสด และ/หรือคูปองส่วนลดสินค้าที่Tesco Lotusคัดสรรให้ตามพฤติกรรมการจับจ่ายของลูกค้า จดหมายClub Cardนี้เป็นการตอกย้ำความสำเร็จก้าวแรกของ “Club Card บัตรขอบคุณ” โปรแกรมขอบคุณลูกค้าที่Tesco Lotus ตั้งใจมอบแทนคำขอบคุณให้แก่ลูกค้าทั่วประเทศ





Club Card บัตรขอบคุณ นับเป็นโปรแกรมขอบคุณลูกค้าที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดโปรแกรมหนึ่งของโลก ด้วยการส่งเสริมให้เกิดการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นหลัก ลูกค้าที่สมัครและใช้Club Cardจะได้รับสิทธิประโยชน์ง่ายๆ ด้วยการรับแต้มสะสม 1 แต้มจากการจับจ่ายทุก 2 บาท โดยไม่มีการกำหนดมูลค่าการซื้อขั้นต่ำ และเมื่อสะสมแต้มตั้งแต่ 1,000 แต้มขึ้นไปก็จะได้รับคูปองเงินสดตามแต้มสะสม ซึ่งมีมูลค่าเริ่มตั้งแต่ 10 บาท และแต้มสะสมไม่มีวันหมดอายุ นอกจากนี้ “Club Card” ยังช่วยให้Tesco Lotusสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้โดยตรง และสามารถเข้าใจถึงความต้องการที่แตกต่างกันของลูกค้าแต่ละคนอีกด้วย




นายสตีฟ แฮมเม็ทท์ ประธานกรรมการบริหาร Tesco Lotus กล่าวว่า “เราคาดการณ์ไว้ว่าหลังเปิดตัวClub Card จะมีลูกค้าร่วมเป็นสมาชิกจำนวน 4 ล้านรายในปีแรก โดยที่ผ่านมาลูกค้าตอบรับClub Cardดีเกินกว่าที่คาดไว้ โดยเวลาเพียง 3 เดือน มียอดผู้สมัครและใช้Club Cardทะลุเกินกว่า 3.2 ล้านคน (ณ วันสรุปยอดสะสมแต้ม 3 เดือนแรกวันที่ 9 พฤศจิกายน) ซึ่งเราได้มอบสิทธิประโยชน์ให้แก่ลูกค้ากลุ่มดังกล่าว เพื่อขอบคุณลูกค้าที่ไว้วางใจในTesco Lotus ซึ่งจดหมายClub Cardพร้อมคูปองรอบแรกนี้ สามารถช่วยให้ลูกค้าประหยัดและร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ได้เป็นอย่างดี โดยลูกค้าสามารถนำคูปองแทนเงินสด และคูปองส่วนลดสินค้าต่างๆ ไปใช้จับจ่ายสินค้าและของขวัญสำหรับช่วงเทศกาลปีใหม่นี้”




คุณยุพดี ศรีศิลป ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายการตลาด – Club Card ประเทศไทย กล่าวว่า “จากข้อมูลการสรุปยอดสะสมครั้งแรกนี้ ลูกค้าผู้ถือClub Card บัตรขอบคุณ มากกว่า 2 ใน 3 มีแต้มสะสมเกินกว่า 1,000 แต้ม ซึ่งจะเป็นผู้ที่ได้รับคูปองแทนเงินสด และคูปองส่วนลดในสินค้าที่เขาจับจ่ายเป็นประจำ ส่วนลูกค้าที่มีแต้มสะสมน้อยกว่า 1,000 แต้ม เราก็ยังขอบคุณลูกค้าด้วยการมอบคูปองส่วนลดสินค้าที่เขาจับจ่ายเป็นประจำให้ด้วย ทั้งนี้ Tesco Lotusได้จัดส่งคูปองทั้ง 2 ประเภทรวมมูลค่าทั้งสิ้นมากกว่า 230 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นคูปองแทนเงินสดมูลค่ารวมกว่า 80 ล้านบาท และเป็นคูปองส่วนลดสินค้ามีมูลค่ารวมกว่า 150 ล้านบาทให้แก่ลูกค้าClub Cardในรอบการสะสมแต้ม 3 เดือนแรก”

ลูกค้าทุกท่านสามารถนำคูปองที่ได้รับไม่ว่าจะเป็นคูปองแทนเงินสด และคูปองส่วนลดสินค้าไปใช้ร่วมกับClub Card บัตรขอบคุณ ได้ที่Tesco Lotusทุกสาขาทั่วประเทศ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อศูนย์บริการลูกค้าClub Card โทร. 0-2626-8800




เกี่ยวกับClub Card บัตรขอบคุณ จากTesco Lotus:




Club Card บัตรขอบคุณ เปิดตัวครั้งแรกในเมืองไทย เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2552 หลังจากเปิดตัวครั้งแรกที่ประเทศอังกฤษเมื่อ 14 ปีที่ผ่านมา Club Cardมาพร้อมบัตรใบเล็กในรูปแบบพวงกุญแจที่จะช่วยทำให้การสะสมแต้มเป็นเรื่องง่าย และเพิ่มความสะดวกในการพกพา โดยลูกค้าสามารถสมัครClub Cardได้ฟรี ที่จุดบริการลูกค้า Tesco Lotus ทุกสาขา เพื่อนำไปใช้สะสมแต้มได้ทันทีโดยมีรายละเอียด ดังนี้




- ใช้จ่ายครบทุก 2 บาท รับแต้มสะสม 1 แต้ม

- แต้มสะสมตั้งแต่ 1,000 แต้มขึ้นไป จะถูกเปลี่ยนเป็นคูปองแทนเงินสดตามจำนวนแต้มที่สะสม โดยมีมูลค่าเริ่มต้นที่ 10 บาท

- แต้มสะสมจะถูกเปลี่ยนเป็นคูปองแทนเงินสดและจัดส่งให้แก่สมาชิกพร้อมไปกับคูปองส่วนลดสินค้า โดยส่งให้ถึงบ้านทางไปรษณีย์ทุก 3 เดือน

- แต้มสะสมไม่มีวันหมดอายุ เพราะแต้มสะสมคงเหลือ จะถูกโอนไปสะสมในรอบการสะสมถัดไปโดยอัตโนมัติ

- ลูกค้าสามารถใช้คูปองClub Cardได้ที่Tesco Lotus ไฮเปอร์มาร์เก็ต ตลาดโลตัส Tesco Lotus คุ้มค่า และTesco Lotus เอ็กซ์เพรส ทุกสาขาทั่วประเทศ

- ปัจจุบันมีลูกค้าสมัครและใช้Club Cardแล้วจำนวน 3.2 ล้านคน (ณ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2552)






Tesco Lotus ต้อนรับปีใหม่ส่งแคมเปญ “สถานีแห่งความสุข”



Tesco Lotusต้อนรับปีใหม่ส่งแคมเปญ “สถานีแห่งความสุข” กระตุ้นคนไทยร่วมส่งมอบความสุข ด้วยหลากหลายของขวัญคุณภาพดี ราคาโดนใจ เริ่มต้นเพียง 3 บาทเท่านั้น



กรุงเทพฯ 17 พฤศจิกายน 2552 – Tesco Lotusผู้นำการจำหน่ายสินค้าราคาประหยัด เปี่ยมคุณภาพและความหลากหลาย มุ่งมั่นช่วยลูกค้าประหยัดอย่างต่อเนื่องกับล่าสุดแคมเปญ “สถานีแห่งความสุข” กระตุ้นลูกค้าคนไทยร่วมส่งความสุขและฉลองรับเทศกาลปีใหม่ได้อย่างสบายใจแม้ในภาวะเศรษฐกิจเช่นปัจจุบัน โดยTesco Lotusได้ยกขบวนของขวัญและสินค้าคุณภาพ มากกว่า 2,000 รายการ ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้า สำหรับลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยนำมาจำหน่ายในราคาสุดพิเศษ ที่เริ่มต้นเพียง 3 บาทเท่านั้น ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2552 ถึง 4 มกราคม 2553 ที่Tesco Lotusทุกสาขาทั่วประเทศ






เพื่อเป็นการต้อนรับเทศกาลความสุขแห่งปี Tesco Lotusได้นำเสนอรายการสินค้าของขวัญที่มากที่สุด โดยรวมไว้ภายในที่เดียว เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุมและครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นตะกร้าของขวัญหลากประเภทหลายสีสัน ทั้งจากแบรนด์เทสโก้และแบรนด์สินค้าชั้นนำ ของตกแต่งหลากสไตล์ อาหารสำหรับงานปาร์ตี้ การ์ดปีใหม่ รวมไปถึงของขวัญนานาประเภท ที่มีให้เลือกทั้งสำหรับครอบครัว เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่ตำรวจจราจรและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้าน โดยความพิเศษของปีนี้ คือนับเป็นครั้งแรกที่มีการจัดวางสินค้าตามกลุ่มราคา เช่น กลุ่มสินค้า 19 บาท กลุ่มสินค้า 29 บาท หรือ กลุ่มสินค้า 199 บาท เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่มองหาของขวัญที่ตัวเองต้องการตามกลุ่มราคาได้อย่างรวดเร็วขึ้น ทำให้ประหยัดเวลาการจับจ่ายซื้อของมากขึ้น





นายสตีฟ แฮมเม็ทท์ ประธานกรรมการบริหาร Tesco Lotusกล่าวว่า “จากการสำรวจความต้องการของลูกค้าล่าสุด แม้ลูกค้าส่วนใหญ่จำเป็นต้องรัดเข็มขัดประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น เนื่องด้วยภาวะเศรษฐกิจเช่นปัจจุบัน แต่พวกเขาก็ยังต้องการเลือกซื้อของขวัญคุณภาพ เพื่อส่งมอบความสุขให้กับเพื่อนฝูงและคนที่รัก Tesco Lotusในฐานะผู้นำการจำหน่ายสินค้าราคาประหยัด จึงมุ่งมั่นช่วยลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยนำเสนอรายการสินค้าของขวัญยิ่งใหญ่ที่สุดกว่าที่เคยมีมา ทั้งในเรื่องของความหลากหลายและคุณภาพของสินค้า ในราคาประหยัด โดยนำสินค้ากว่า 2,000 รายการครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้าทุกประเภทมาลดราคาถึง 40 เปอร์เซ็นต์”





“และเนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่มักซื้อสินค้าในกลุ่มของขวัญที่เป็นชิ้นเล็กๆ มากกว่าชิ้นใหญ่ เห็นได้จากยอดจำหน่ายสินค้าในปี 2551 ที่ผ่านมา ที่สินค้าชิ้นเล็ก อาทิ การ์ดปีใหม่ พวงกุญแจ และตุ๊กตา ซึ่งมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับปี 2550 ดังนั้นในปีนี้ เราจึงคัดสรรสินค้าและของขวัญชิ้นเล็กๆ แต่ยังคงไว้ซึ่งคุณภาพและความหลากหลาย ในราคาประหยัดมากขึ้นมาวางจำหน่าย เพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า โดยมีราคาเริ่มต้นเพียง 3 บาทเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีการจัดกลุ่มสินค้าตามราคา เพื่อให้ลูกค้าโดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียน นักศึกษาที่ต้องการของขวัญสำหรับการจับฉลากในเทศกาลปีใหม่ สามารถเลือกซื้อได้อย่างสะดวกและประหยัดยิ่งขึ้น”





ลูกค้าสามารถพบกับสินค้าหลากหลายประเภทที่นำมาจัดโปรโมชั่นพิเศษ อาทิ การ์ดปีใหม่ส่งความสุข ราคาเริ่มต้น 3 บาท สินค้าสำหรับประดับตกแต่งเพื่อสร้างบรรยากาศคริสต์มาสและปีใหม่ ราคาเริ่มต้น 5 บาท ของขวัญสำหรับคนพิเศษไม่ว่าจะเป็น ตุ๊กตาแพนด้า หมอนแพนด้า ของตกแต่งบ้าน ของเล่น กรอบรูป ดีไซน์ทันสมัย ในราคาเริ่มต้นเพียง 9 บาท ชุดสำหรับจัดปาร์ตี้ 49 บาท รวมทั้งคุกกี้แสนอร่อยที่ลูกค้าสามารถเลือกรสชาติได้ตามความชอบ เหมาะสำหรับงานปาร์ตี้ หรือให้เป็นของขวัญในราคาชิ้นละ 5 บาท หรือเพียง 45 บาท ต่อ 10 ชิ้น





ในส่วนตะกร้าของขวัญ Tesco Lotusใส่ใจในความต้องการของลูกค้าที่ต้องการดูแลสุขภาพ จึงเพิ่มทางเลือกในส่วนของตะกร้าของขวัญเพื่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น ตะกร้าเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ตะกร้าสินค้า OTOP เพื่อสุขภาพ ตะกร้าคนรักส้ม ตระกร้าผลไม้ 5 สี และตระกร้าผักสลัด ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 199 บาท ในส่วนของตะกร้าของขวัญทั่วไป Tesco Lotusได้ออกแบบและตกแต่งตระกร้าอย่างสวยงามหลากหลายรูปแบบในรูปลักษณ์และคุณภาพเช่นเดียวกับสินค้าที่ซื้อได้ในห้างสรรพสินค้า แต่ราคาประหยัดแบบTesco Lotusซึ่งประกอบด้วยสินค้าประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าแบรนด์ ซึ่งเริ่มต้นที่ 255 บาท และสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ของTesco Lotusในราคาเริ่มต้นเพียง 185 บาทเท่านั้น ที่สำคัญสำหรับเทศกาลส่งความสุขในปีนี้ Tesco Lotusร่วมสนับสนุนนโยบายภาครัฐกล่าวคือจะไม่มีสินค้าจำพวกแอลกฮอลล์ เช่น เหล้าและไวน์ในตะกร้าของขวัญTesco Lotusเพื่อส่งเสริมให้ลูกค้าเฉลิมฉลองเทศกาลความสุขอย่างปลอดภัยและมีสุขภาพที่ดี





นอกจากนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้ากลุ่มองค์กร บริษัท Tesco Lotusได้เพิ่มบริการพิเศษ ฮอทไลน์ เซอร์วิส (Hotline Service) สำหรับองค์กรที่มีความประสงค์จะซื้อตะกร้าของขวัญในปริมาณมาก โดยสามารถโทรสั่งได้ที่ 0-2797-9000 ต่อ 5599 หรือ ส่งอีเมล์แจ้งความประสงค์ได้ที่ B2B@th.tesco.com



ร่วมจับจ่ายสินค้าและของขวัญคุณภาพในราคาโดนใจแบบTesco Lotusกับ “สถานีแห่งความสุข” ที่Tesco Lotusทุกสาขาทั่วประเทศ ได้ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2552 ถึง 4 มกราคม 2553




Friday, November 27, 2009

BOOTS REPOSITIONING

Alliance BootsImage via Wikipedia

ภายหลังจาก "สเตฟาโน เพซซินา" ผู้บริหารชาวอิตาเลียน ร่วมกับโคลห์เบิร์ก คราวิส โรเบิร์ตส์ แอนด์ โค (เคเคอาร์) เข้าซื้อกิจการของ "อัลไลแอนซ์ บู๊ทส์" เชนร้านขายยาที่มีจำนวนสาขามากที่สุดในทวีปยุโรปเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา "เพซซินา" ในฐานะประธานของอัลไลแอนซ์ บู๊ทส์ ต้องการปรับเปลี่ยนบู๊ทส์จากธุรกิจร้านขายยาสัญชาติอังกฤษ ไปสู่การเป็นบริษัทด้านสุขภาพและความงามระดับโลก



โดยอาศัย 2 เครื่องมือหลักเพื่อบรรลุภารกิจดังกล่าว นั่นคือ การเดินหน้าซื้อกิจการทั้งขนาดเล็กและใหญ่ และการขยายธุรกิจ "ครีมลดริ้วรอย"



วอลล์สตรีต เจอร์นัล รายงานว่า ครีมบำรุงผิวภายใต้แบรนด์ "บู๊ทส์ แลบอราทอรีส์ เซรั่ม 7" คือส่วนหนึ่งของความพยายามที่บู๊ทส์จะสร้างความสำเร็จในทวีปยุโรป เหมือนกับ "บู๊ทส์ นัมเบอร์ 7" ที่สำเร็จในอังกฤษมาแล้ว โดย "บู๊ทส์ แลบอราทอรีส์ เซรั่ม 7" ถือเป็นไลน์สินค้าใหม่ ซึ่งรวมไปถึงครีมบำรุงผิวที่ปัจจุบันมีจำหน่ายในร้านขายยาในฝรั่งเศสและโปรตุเกสเท่านั้น




แต่ในไม่ช้าแบรนด์ดังกล่าวจะสามารถหาซื้อได้อย่างกว้างขวางในทวีปยุโรป ซึ่งนี่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการของเพซซินาที่จะต้องการทำให้เป็นไลน์สินค้าที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนการเติบโตสำหรับ "อัลไลแอนซ์ บู๊ทส์" ในอนาคต



เพซซินา ประธานบริหารของอัลไลแอนซ์ บู๊ทส์ กล่าวว่า หนึ่งในโครงการหลักสำหรับอนาคตคือสร้างบู๊ทส์ให้เป็นอินเตอร์แบรนด์ โดยขายสินค้าภายใต้แบรนด์บู๊ทส์ออกไปนอกประเทศอังกฤษ



หลังจากการซื้อขายหุ้นในปี 2550 บริษัทจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์บู๊ทส์ใน 15 ประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา รวมทั้งเปิดร้านขายยาในหลายประเทศ ตั้งแต่เนเธอร์แลนด์จนถึงประเทศไทย และจัดหายาให้กับแพทย์กว่า 140,000 คน รวมถึงร้านขายยาและโรงพยาบาลทั่วโลก



อานิสงส์จากธุรกิจดูแลผิวที่เติบโตอย่างรวดเร็ว รวมถึงการแพร่ระบาดของไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ ที่ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือมียอดเพิ่มขึ้น 12% อยู่ที่ 9 พันล้านปอนด์ หรือราว 15 พันล้านดอลลาร์ ในช่วง 6 เดือนนับถึงวันที่ 30 กันยายน



แต่สำหรับ "เพซซินา" มองว่ายังเป็นการเติบโตที่ไม่มากนัก โดยเขาเชื่อว่าในไม่ช้าบริษัทต้องเผชิญกับการเติบโตที่จำกัด ซึ่งต้องพยายามทุ่มเทเวลาเพื่อจะซื้อกิจการที่ส่งผลต่ออนาคตของบริษัท



"เพซซินา" กล่าวว่า ยังมีดีลควบรวมกิจการที่มีศักยภาพอีกมาก ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ที่สอดคล้องกับเป้าหมายในการซื้อ กิจการของบู๊ทส์อยู่ในยุโรป



อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ความพยายามเหล่านี้จะสำเร็จด้วยดีทั้งหมด อย่างเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว "อัลไลแอนซ์ บู๊ทส์" ล้มเหลวในการเจรจาซื้อกิจการบางส่วนของ "Apoteket" ร้านขายยาที่ดำเนินกิจการแบบผูกขาดในสวีเดน และรัฐบาลสวีเดนนำออกประมูล แต่ดีลนี้กลับสร้างความเสี่ยงต่อบู๊ทส์มากกว่าการเข้าซื้อกิจการร้านขายยาในนอร์เวย์เมื่อปี 2543 ดังนั้น เสนอซื้อกิจการใด ๆ จึงต้องทำด้วยความระมัดระวัง



"ถ้าเราพบร้านขายยาในราคาที่เหมาะสม ก็จะซื้อกิจการ แต่หากต้องจ่ายแพงเกินไป เหมือนกรณีที่สวีเดน เราก็คงไม่"



ขณะนี้คู่แข่งในธุรกิจค้าปลีกและกลุ่มธุรกิจสุขภาพกำลังจับตาดูความเคลื่อนไหวของ "เพซซินา" หลังการเข้าซื้อ "อัลไลแอนซ์ บู๊ทส์" ร่วมกับเคเคอาร์ ซึ่งถือเป็นดีลที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งก็ยังไม่ชัดเจนว่าจุดประสงค์ของเขาเพื่อต้องการแยกสินทรัพย์ออกเป็นส่วน ๆ หรือมุ่งมั่น จะดำเนินธุรกิจสู่การเติบโตในระยะยาว



อย่างไรก็ตาม "เพซซินา" ยืนยันว่า เป้าหมายของเขาคือต้องการให้บริษัทดำรงอยู่ได้ในระยะยาว โดยพยายามไล่ซื้อกิจการร้านขายยา เปิดตัวผลิตภัณฑ์และนำเสนอบริการ ซึ่งสะท้อนถึงแผนระยะยาว



"ลูก้า โซลก้า" นักวิเคราะห์ด้านรีเทลของอัลไลแอนซ์ เบิร์นสไตน์ในลอนดอน มองว่า บู๊ทส์มีโอกาสสูงในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพและความงาม ในยุโรป สิ่งที่เพซซินาเข้าใจคือ บรรดาเภสัชกรต้องการแบรนด์ร้านขายยาที่แข็งแกร่ง ที่สามารถจำหน่ายสินค้าที่เป็นเอ็กซ์คลูซีฟ เพื่อต่อกรกับบรรดาร้านขายยาในซูเปอร์มาร์เก็ต





Reblog this post [with Zemanta]

Thursday, November 26, 2009

CPN approached for overseas mall development

Central GroupImage via Wikipedia

Mall developer Central Pattana has been approached by more than 10 foreign investors, mainly from China and India, about joint ventures to develop shopping complexes in their markets, president Kobchai Chirathivat said yesterday.

He said Central Pattana would invest about Bt1 billion to its first overseas joint venture to develop a shopping complex in China. The company will finalise the agreement with Chinese investors by early next year.

"Three or four foreign investors are going deeper into serious negotiations about joint venture and investment possibilities," said Kobchai.

Kobchai said the company had won many international awards this year, including the Gold Award for Development and Design Excellence from the International Council of Shopping Centres in October, and two awards - Best Mixed Use Development and Best Retail Development - at the Asia Pacific Property Awards 2009, held in July in association with CNBC.

"These international awards help Central Pattana to enhance its reputation among international investors, who have approached us to develop shopping complexes in their markets. Many of them come from potential markets like China and India," he said.

"We will however develop those overseas projects one at a time, as we need to take time to learn about and understand consumer behaviour in particular markets. We also prefer a joint-venture deal for every investment abroad, as we need expertise and local market knowledge from our partners."

Kobchai said Thailand's shopping-mall industry had started to recover in October and November, as evidenced by better shopper traffic and sales at tenant stores.

Nattakit Tangpoonsinthana, Central Pattana executive vice president for marketing, said the number of shoppers at all malls operated by the company had grown by 7 per cent in the first 10 months of the year compared to the same period last year.

Traffic at CentralWorld alone grew by almost 25 per cent in the period.

"We have seen a strong recovery in fashion products, which had dropped by almost 30 per cent year on year in the first half," said Nattakit.

Kobchai said that to cope with the economic recovery, Central Pattana would be more proactive in rolling out marketing activities to stimulate shoppers to visit its complexes.

"We will increase our marketing budget by between 5 and 10 per cent next year to about Bt600 million," he added.

Central Pattana yesterday launched the CentralPlaza shopping complex in Khon Kaen, which will have its grand opening on December 3.

Costing Bt4 billion, CentralPlaza Khon Kaen is located at the Mitraphab-Srichan intersection, covering over 45 rai and occupying retail space of more than 250,000 square metres.

It houses more than 300 leading tenant stores with major anchors that include Robinson Department Store, Tops Market, Power Buy, B2S, Super Sports, SF Cinema City, and SF bowling and karaoke centres.

The company will spend more than Bt100 million on next Thursday's grand opening under the concept "Weaving happiness to the heart of Isaan". Highlights include the most realistic T-Rex robot in the world, which is worth over Bt20 million, for the first time in Thailand.

By KWANCHAI RUNGFAPAISARN
THE NATION
Published on November 26, 2009

Reblog this post [with Zemanta]

Tuesday, November 24, 2009

CENTRAL plans B1bn sales drive

Central World - Merry X'mas & Happy New Year 2...Image by Honou via Flickr

Central Department Store will spend one billion baht on two campaigns to boost sales in the coming festive season.

The year-end campaigns should generate sales of about 8.6 billion baht, said CDS president Yuwadee Chirathivat. Sales for the whole year should reach 27 billion baht, a 5% increase from last year.


The Central/Zen Midnight Sale 3 will offer discounts of up to 60% from Nov 25-Dec 1 with sales forecast at 750 million baht.


The Origin and Central Let's Celebrate 2010 runs Nov 23-Mar 9 with an expected sales revenue of 7.8 billion baht.



Piyawan Leelasompop, vice-president for marketing at CDS, said the company has increased its marketing budget by 20% to stimulate sales near the year-end.

"We saw signs that the local economy will start a recovery soon but political problems are still a concern," she said.

Shoppers at Central department stores have spent more since the third quarter. Average spending per bill is currently up to between 2,000 to 3,000 baht, significantly higher than 1,800 to 2,300 baht in the first quarter.

Sales at CDS rose by 7% year-on-year in September, higher than the average monthly sales growth in the first two quarters.

Ms Yuwadee said CDS expects to achieve sales growth of more than 7% in the final quarter.

Ms Piyawan said CDS planned to expand its shopper base to attract younger consumers aged 18 to 30, as this group could be convinced easily by attractive promotion campaigns.

Reblog this post [with Zemanta]

Monday, November 23, 2009

Gallery of Paradise Park

Paradise Park
project perspective

Paradise Park
hall
Paradise Park
hall

Paradise Park
shopping in the garden. inspire by Suan Luang Garden

Paradise Park
tenant

Paradise Park
food center

Paradise Park


Reblog this post [with Zemanta]

Carrefour Indonesia Ordered to Sell Its Alfa Stake

Carrefour SAImage via Wikipedia

By Widya Utami and Ladka Bauerova

Nov. 3 (Bloomberg) -- Carrefour SA, Europe’s biggest retailer, was ordered to sell its stake in an Indonesian supermarket chain as regulators said the French company was using its “dominant position” to unfairly squeeze suppliers.

Carrefour Indonesia must sell its stake in PT Alfa Retailindo within a year, Dedie S. Martadisastra, a commission chairman at the agency, told reporters in Jakarta today. The company has 14 days to file an appeal at the district court, Martadisastra said.

The French retailer said it will likely appeal, calling the regulator’s assertion “completely baseless.” Carrefour bought Alfa Retailindo last year for 675 billion rupiah ($70 million), part of its strategy to expand in emerging markets as the company’s home French market stagnates.



The deal boosted Carrefour’s share of the superstore market to 58 percent from 46 percent, according to Benny Pasaribu, the regulator’s chairman. “That market power and dominant position has been misused by Carrefour to force its suppliers into providing discounts,” Pasaribu said today.

If the retailer is forced to sell its 75 percent stake in Alfa, it will most likely abandon the Indonesian market, according to Standard & Poor’s analyst James Monro.

“Indonesia is very small for Carrefour in the larger scheme of things,” the analyst said. “The company has more pressing problems, such as how to revive sales in France.”

Russian Retreat

“We stick to our position that the agency’s charges are completely baseless,” said Irawan Kadarman, Carrefour Indonesia’s corporate affairs director. Helene Saint-Raymond, a Paris-based Carrefour spokeswoman, declined to comment further.

Carrefour Indonesia had 45 hypermarkets and 30 supermarkets as of April. A withdrawal from Indonesia would follow Carrefour’s exit from the Russian market, announced last month as the retailer said it would focus on countries where it’s among the market leaders.

Chief Executive Officer Lars Olofsson, who took over in January, vowed to improve the French retailer’s sales and efficiency in its home market and in western Europe. Olofsson was brought in with the support of Colony Capital LLC and billionaire Bernard Arnault, who bought a stake in March 2007 and now jointly own about 14 percent of the company.

Exiting Indonesia “might actually please some of the shareholders” since the company “should get a fair price,” Monro said. He estimated the retailer may be able to fetch a price close to the $70 million it paid for the stake.

To contact the reporters on this story: Widya Utami in Jakarta at wutami@bloomberg.net; Ladka Bauerova in Paris at lbauerova@bloomberg.net.

Last Updated: November 3, 2009 11:12 EST
Reblog this post [with Zemanta]

CARREFOUR TO JOIN PARADISE PARK "THE NEW SERI CENTER"



"CARREFOUR" จับมือสยามพิวรรธน์-เอ็มบีเค เซ็นเตอร์ ร่วมขบวนศูนย์การค้า "PARADISE PARK" เปิดซูเปอร์มาร์เก็ตเสียบแทน "กูเมต์ มาร์เก็ต" จากค่าย "เดอะมอลล์" ที่ขอถอนตัว วางคอนเซ็ปต์ระดับพรีเมี่ยม มัดใจ พร้อมเปิดตามแผนมีนาคมปีหน้า



หลังกลุ่มสยามพิวรรธน์และ MBK CENTER เข้าไปซื้อศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์ และได้เริ่มแปลงโฉมเพื่อเปลี่ยนเป็น "PARADISE PARK" ศูนย์การค้าที่ดีที่สุดในย่านกรุงเทพฯตะวันออก ด้วยงบฯลงทุนก้อนโต 2,000 ล้านบาท และตามแผนจะแล้วเสร็จและเปิดในเดือนมีนาคมปีหน้า




ความเคลื่อนไหวล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ในกลุ่มพื้นที่เช่าและพันธมิตรที่ได้ตกลงเช่าไปแล้วกว่า 70% ได้มีการปรับเปลี่ยนใหม่ในพื้นที่ชั้นกราวนด์ จากเดิมพื้นที่กว่า 5,000 ตร.ม. ได้วางให้เป็นซูเปอร์ มาร์เก็ตระดับพรีเมี่ยม ตามแผนได้เตรียมจะนำ "กูร์เมต์ มาร์เก็ต" ซูเปอร์มาร์เก็ตที่เปิด 2 สาขา ที่ SIAM PARAGON และ THE EMPORIUM และเตรียมจะเปิดอีก 1 แห่ง ปลายปีนี้ ที่คอมมิวนิตี้มอลล์ เค-วิลเลจ (สุขุมวิท 26) เข้ามาเปิดเพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าระดับบน



ทั้งนี้ กูร์เมต์ มาร์เก็ต เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่มเดอะมอลล์และสยามพิวรรธน์ที่ถือหุ้นคนละครึ่ง แต่ล่าสุดรายงานข่าวระบุว่า กูร์เมต์ มาร์เก็ต ได้ถอนตัวออกไป และมีไฮเปอร์มาร์เก็ต คาร์ฟูร์ เข้ามาบริหารในพื้นที่ดังกล่าวแทน



นายสุเวทย์ ธีรวชิรกุล กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็มบีเค จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานกรรมการ บริษัท เสรีเซ็นเตอร์ แมเนจเม้นท์ จำกัด ยอมรับว่า ได้คุยกับคาร์ฟูร์เพื่อทาบทามให้เข้ามาร่วมเปิดในศูนย์การค้าพาราไดซ์พาร์ค และบริหารพื้นที่ในส่วนซูเปอร์มาร์เก็ตดังกล่าว ส่วนรายละเอียดการตกแต่งรวมทั้งคอนเซ็ปต์การวางสินค้าต้องไปถามทางคาร์ฟูร์ซึ่งจะตอบได้ชัดเจนมากกว่า



ก่อนหน้านี้ในงานเปิดตัวโครงการพาราไดซ์พาร์ค เพื่อชักชวนให้นักลงทุนค้าปลีกและซัพพลายเออร์คู่ค้าเข้ามาร่วมนั้น ศูนย์วางรูปแบบชั้นกราวนด์ให้เป็นสวรรค์ของ นักชิม ที่มีศูนย์อาหารและซูเปอร์มาร์เก็ต ระดับพรีเมี่ยม ด้วยการรวบรวมสินค้ากลุ่มอาหารสด โกรเซอรีส์ และอาหารนำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าย่านศรีนครินทร์และพื้นที่ใกล้เคียง



โดยแบ่งพื้นที่เป็น 3 ส่วน คือ 1.พื้นที่ 5,000 ตร.ม. สำหรับซูเปอร์มาร์เก็ต 2.เสรีมาร์เก็ต และฟู้ด คอร์ต ที่รวบรวมอาหารสดในรูปแบบตลาดนัดติดแอร์และร้านอาหารชื่อดังมารวมกันบนพื้นที่ 5,000 ตร.ม. และ 3.พื้นที่สำหรับฟู้ด บาซาร์ที่รวมร้านอาหารเทคโฮมและเบเกอรี่กว่า 100 ร้านค้า



ผู้สื่อข่าวสอบถามเรื่องดังกล่าวไปยังคาร์ฟูร์ โดยผู้บริหารจากบริษัท เซ็นคาร์ จำกัด กล่าวว่า ตอนนี้อยู่ในช่วงของการประชุมเพื่อสรุปแผนการขยายสาขาในปีหน้า เบื้องต้นโดยส่วนตัวยังไม่ทราบว่าจะมีการรวมแผนเรื่องการเปิดสาขาใหม่ที่ พาราไดซ์พาร์ค เข้าไปด้วยหรือไม่ คงต้องรอให้การเจรจาเสร็จสิ้นก่อน



ปัจจุบันการเปิดสาขาของคาร์ฟูร์มีทั้งหมด 4 รูปแบบ ได้แก่ ไฮเปอร์มาร์เก็ต พื้นที่เฉลี่ย 6,500 ตารางเมตร คอมแพ็กต์ 4,000 ตารางเมตร มินิคาร์ฟูร์ 2,000 ตารางเมตร รวม 38 สาขา และได้เริ่มทดลองเปิดซูเปอร์มาร์เก็ตชื่อ คาร์ฟูร์ซิตี้ ขนาด 300 ตารางเมตร 1 แห่ง



ด้านแหล่งข่าวค้าปลีกรายหนึ่งให้เหตุผลถึงการที่กูร์เมต์ มาร์เก็ต ถอนตัวออกจากโครงการพาราไดซ์ พาร์ค ว่าที่ผ่านมา คอนเซ็ปต์การเปิดกูร์เมต์ฯเพื่อดึงคนเข้ามาในห้างและจับจ่ายต่อเนื่องไปยังส่วนของดีพาร์ตเมนต์ แต่รูปแบบของพาราไดซ์ พาร์คเป็นศูนย์การค้าอย่างเดียว จึงไม่ตรงกับแนวทางการทำธุรกิจของกูร์เมต์ มาร์เก็ต ที่จะเปิดเดี่ยว ๆ แบบสแตนด์อะโลน



ล่าสุด นางชฎาทิพ จูตระกูล รองประธานกรรมการ บริษัท พาราไดซ์พาร์ค จำกัด ได้เซ็นสัญญากับ นางณัฐธยาน์ ปางพุฒิพงศ์ กรรมการ บริษัท ดาวคอฟฟี่บีนส์ จำกัด สำหรับการเช่าพื้นที่ชั้น 3 ของศูนย์ พาราไดซ์พาร์ค เพื่อเปิดร้านคอฟฟี่บีนส์ บายดาว (Coffee Beans By Dao) ร้านเบเกอรี่และอาหารในรูปแบบเอ็กซ์คลูซีฟแห่งแรก ด้วยงบฯลงทุน 15 ล้านบาท จับกลุ่มลูกค้าครอบครัวรุ่นใหม่ที่อาศัยในโซนกรุงเทพฯตะวันออก ซึ่งเป็นทาร์เก็ตระดับกลาง-บนที่มีกำลังซื้อสูง



Reblog this post [with Zemanta]

CENTRAL ยื่นแผนรถไฟฯทุ่ม2.4พันล้านปรับโฉมสาขาลาดพร้าวหลังต่อสัญญา20ปี เล็งปิดซ่อมยาว1ปี



ยักษ์ใหญ่ค้าปลีก"เซ็นทรัล"ยื่นแผนการรถไฟฯหลังต่อสัญญาเช่าอีก 20 ปี กางแผนลงทุนขยายฐานธุรกิจเต็มสูบ ทุ่ม 2.4 พันล้านบาท รีโนเวต"เซ็นทรัล ลาดพร้าว-โรงแรม" แบบยกเครื่องครั้งใหญ่ทั้งภายนอก-ภายใน ชี้โมเดิร์นไม่น้อยหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ แย้มอาจปิดห้างชั่วคราว 1 ปี หวังให้เบ็ดเสร็จภายในครั้งเดียว



แม้เศรษฐกิจโดยรวมจะยังชะลอตัวแต่ยักษ์ใหญ่วงการค้าปลีกอย่างกลุ่มเซ็นทรัลของตระกูล "จิราธิวัฒน์" ยังขยับรุกด้วยการเคลื่อนไหวลงทุนต่อเนื่อง โดยฉวยจังหวะขยายธุรกิจรอรับเศรษฐกิจและกำลังซื้อฟื้นตัว ในขณะที่ธุรกิจส่วนใหญ่ยังติดเบรกเรื่องการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง ล่าสุดนอกจากจะวาดแผนรีโนเวตศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว ที่ต่อสัญญาเช่าที่ดินจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) อีก 20 ปี โดยจะปรับโฉมใหม่ทั้งหมด บริษัท ซี อาร์ ซี เพาเวอร์ รีเทล จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจ "โฮมเวิร์ค" เตรียมเปิดตัวสโตร์จำหน่ายวัสดุก่อสร้างและตกแต่งรูปแบบใหม่ (New Format Store) แย่งเค้กตลาดวัสดุก่อสร้างและวัสดุตกแต่งเพิ่มขึ้นด้วย





@ เล็งปิด "เซ็นทรัล ลาดพร้าว" 1 ปี รีโนเวต

แหล่งข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า หลังบริษัท เซ็นทรัล อินเตอร์พัฒนา จำกัด ได้ต่อสัญญาเช่าพื้นที่ 47.22 ไร่ ออกไปอีก 20 ปี โดยให้ผลตอบแทน ร.ฟ.ท.รวม 21,298 ล้านบาท ซึ่งเซ็นสัญญาเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2551 ที่ผ่านมา ขณะนี้เวลาผ่านไปเกือบ 1 ปี ปัจจุบันเซ็นทรัลฯได้เริ่มปรับปรุงบูรณะพัฒนา (Renovation) พื้นที่ โดยจะใช้เงินลงทุนไม่น้อยกว่า 2,400 ล้านบาท เฉพาะในส่วนโรงแรมก่อนซึ่งคืบหน้าไปมาก สำหรับศูนย์การค้าได้ส่งแบบการปรับปรุงพื้นที่มาให้การรถไฟฯพิจารณาแล้ว"

โดยเซ็นทรัลฯต้องการจะปรับปรุงสาขาลาดพร้าวใหม่ทั้งหมดให้สมบูรณ์แบบและทันสมัย โมเดิร์นมากขึ้นทั้งภายใน-ภายนอก รูปแบบจะคล้ายกับเซ็นทรัลเวิลด์




ตามสัญญาเซ็นทรัลฯจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จบางส่วนภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2554 เว้นในส่วนที่ต้องยื่นแบบต่อส่วนราชการพิจารณา และต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปี หลังได้รับอนุมัติ แต่ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2556

ในส่วนของศูนย์การค้านั้น แหล่งข่าวระบุว่า เซ็นทรัลฯต้องการจะปิดให้บริการเพื่อปรับปรุง ระยะเวลาประมาณ 1 ปี เพื่อให้เสร็จสมบูรณ์ภายในครั้งเดียว เนื่องจากเฉพาะส่วนห้างคาดว่าจะใช้เวลาปรับปรุงกว่า 7 เดือนจะแล้วเสร็จ แทนที่จะทยอยปิดเป็นช่วง ๆ ภายในเวลา 5 ปี ตามที่เสนอไว้แต่ต้น เพราะประเมินแล้ว หากเปิดให้บริการระหว่างปรับปรุงอาจมีปัญหาเรื่องเสียง ฝุ่นละออง ฯลฯ การปิดให้บริการชั่วคราวน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า




แหล่งข่าวซัพพลายเออร์รายใหญ่กล่าวว่า เซ็นทรัลได้แจ้งให้ทราบแล้ว ว่าจะมีการรีโนเวตห้างครั้งใหญ่ แต่จะเริ่มเมื่อไหร่นั้นขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งให้ทราบ สำหรับบริการด้านความสวยความงาม เบื้องต้นทราบแต่เพียงว่าจะต้องย้ายไปอยู่ที่โซนออฟฟิศ




"ตอนนี้ทางห้างยังไม่ได้แจ้งว่าจะรีโนเวตพื้นที่ทั้งหมดพร้อมกันหรือจะทยอยทำทีละส่วน แต่ส่วนตัวคิดว่าหากต้องปิดห้างพร้อมกันทั้งหมด หน้าร้านต่าง ๆ คงไม่ยอม เพราะต้องขาดรายได้ครั้งใหญ่ เว้นเสียแต่จะมีดีลพิเศษให้ เช่น การเว้นค่าเช่าในช่วงเดือนแรก ๆ หลังรีโนเวตเสร็จ"

จากการสอบถามร้านเช่าในห้างเซ็นทรัล ลาดพร้าว พบว่าส่วนใหญ่ทราบเรื่องที่เซ็นทรัลจะรีโนเวตห้างแล้ว แต่ยังไม่มีการแจ้งว่าเมื่อใด หลายร้านทราบคร่าว ๆ แล้วว่า จะต้องมีการย้ายตำแหน่งร้าน เพื่อจัดเป็นโซนต่าง ๆ เช่น โซนแฟชั่นที่ต้องย้ายไปอยู่ชั้น 1




รายงานข่าวจากกลุ่มเซ็นทรัลระบุว่า แนวโน้มรูปแบบของการรีโนเวตสาขาลาดพร้าวอาจจะเปลี่ยนเป็นการปิดทั้งศูนย์ จากแผนงานเดิมที่วางไว้ก่อนหน้านี้จะทยอยปรับเป็นส่วน ๆ และยังคงเปิดให้บริการตามเดิมซึ่งอาจต้องจะใช้เวลาประมาณ 1.5-2 ปี ก่อนที่จะเสร็จสมบูรณ์ เนื่องจากเป็นการปรับครั้งใหญ่เพื่อยกระดับศูนย์ลาดพร้าวเป็น "นิวลุก" เทียบเท่ากับ "เซ็นทรัลเวิลด์"




ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมากลุ่มบอร์ดผู้บริหารระดับสูงกลุ่มเซ็นทรัลได้ประชุมพร้อมกันที่พัทยาเพื่อสรุปแผนงานพร้อมวางแนวทางธุรกิจสำหรับชี้แจงให้แต่ละหน่วยธุรกิจของเซ็นทรัลได้แจ้งต่อคู่ค้าและพันธมิตรได้รับทราบนโยบายในลำดับต่อไป




@ ยกชั้นโรงแรมเป็น 5 ดาวเต็มรูปแบบ

แหล่งข่าวจากโรงแรมโซฟิเทล เซ็นทารา แกรนด์ กรุงเทพ เปิดเผยว่า การปรับปรุงโรงแรมครั้งนี้จะเปลี่ยนจากรูปแบบเดิมไปสู่โรงแรมระดับ 5 ดาวเต็มรูปแบบ ในสไตล์ฮิปโฮเต็ล คอนเทมโพรารี ทั้งภายนอกและภายใน ด้วยงบประมาณ 800 ล้านบาท ใช้เวลาการปรับปรุง 2 ปี ตั้งแต่ปลายปี 2552 เสร็จสิ้นปี 2554




โฉมใหม่ โซฟิเทล เซ็นทารา แกรนด์ จะปรับผังใหม่หมด จัดโซนนิ่งพื้นที่ให้เหมาะสมกับการใช้งาน เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้บริการ มีการติด Wi-Fi ทุกจุด ในส่วนห้องพักจะปรับจำนวนให้ลดลงแต่หรูหราขึ้น โดยจะยกเลิกห้องซูพีเรียร์ทั้งหมด มีแต่ห้องระดับเดอลุกซ์ขึ้นไป ตกแต่งแบบโมเดิร์นคอนเทมโพรารี ในส่วนนี้อยู่ระหว่างปรับแบบยกทั้งฟลอร์ ส่วนห้องประชุม สัมมนา และห้องอาหาร จะเริ่มดำเนินการปีหน้า โดยจะเพิ่มส่วนสกายเลานจ์ ฟิตเนสเซ็นเตอร์ และเซ็นทาราสปาในรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน รวมทั้งปรับพื้นที่ใช้สอยด้านนอก และที่จอดรถให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น




ส่วนห้องบางกอกคอนเวนชั่นฮอลล์ที่อยู่บนชั้น 4-5 ของห้างสรรพค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว จะปิดการให้บริการราว 1 ปี เพื่อปรับปรุง โดยจะเริ่มในปีหน้า หลังงานประกวดมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สเสร็จสิ้นลง



Reblog this post [with Zemanta]

7ELEVEN จับมือซัพพลายเออร์ พัฒนาสินค้าย้ำอิ่มสะดวก-ติดโลโก้การันตีคุณภาพ



"เซเว่นฯ" จับมือซัพพลายเออร์พัฒนาสินค้า-ทุ่มโฆษณา ดึงคนเข้าร้าน ทยอยแปะโลโก้เซเว่นฯรับรองคุณภาพ-ความสะอาด ประเดิมที่อาหารกล่องก่อนขยายผลไปสู่ เบเกอรี่ ตั้งเป้าปีหน้าการันตี 100 เอสเคยู เผยหลังปรับเป็นร้านอิ่มสะดวก ข้าวกล่องวิ่งฉิวกวาดนิ่ม ๆ 5 ล้าน/เดือน






นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านเซเว่นอีเลฟเว่น เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เพื่อดึงลูกค้าให้เข้าร้านมากขึ้น บริษัทจะร่วมมือกับซัพพลายเออร์พัฒนาสินค้าร่วมกัน ขณะเดียวกันก็จะมีการสร้างการรับรู้กับผู้บริโภคว่าสินค้ามีวางจำหน่ายในเซเว่นฯผ่านสื่อทั้งโทรทัศน์และสิ่งพิมพ์ ซึ่งที่ผ่านมาได้เริ่มใช้กลยุทธ์นี้มาได้ระยะหนึ่งแล้ว และพบว่าช่วยเพิ่มยอดขายให้ซัพพลายเออร์ได้เป็นจำนวนมาก




ควบคู่กับแนวทางดังกล่าว เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมาบริษัทได้นำโลโก้ของเซเว่นฯมาใส่เพิ่มในบรรจุภัณฑ์ เพื่อรับประกันเรื่องคุณภาพและความสะอาดแก่ลูกค้า เบื้องต้นเป็นกลุ่มสินค้าพร้อมดื่มและพร้อมรับประทาน เช่น อาหารกล่องแช่แข็ง ต่อไปคือกลุ่มเบเกอรี่



"ปัจจุบันสินค้าที่มีโลโก้ของเซเว่นฯปิดอยู่บนแพ็กเกจมีประมาณ 20 เอสเคยู และปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มอีกไม่เกิน 100 เอสเคยู จากจำนวนสินค้าในร้านทั้งหมด 2,000-2,200 เอสเคยู"



ขณะเดียวกัน ยังมีแผนจะเพิ่มสินค้า โอนลี่แอต (only @) หรือสินค้าที่ผลิตขึ้นมาเพื่อวางจำหน่ายในร้านเซเว่นฯโดยเฉพาะ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีสินค้าเฟิรสต์ (first) หรือสินค้าที่ขายในเซเว่นฯเป็นที่แรก เช่น ไอศกรีมวอลล์ ชาเขียว มัทฉะ และเร็ว ๆ นี้กำลังจะเปิดตัวทิสชูของแบรนด์คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค ซึ่งสินค้าเฟิรสต์ในปีหน้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเครื่องดื่ม เพื่อให้สอดคล้องกับอากาศร้อนของเมืองไทย



นายยุทธศักดิ์ยังกล่าวด้วยว่า การสร้างคอนเซ็ปต์ร้านอิ่มสะดวกของเซเว่นฯ ขณะนี้ถือว่าผ่านช่วงแนะนำไปแล้ว และกำลังอยู่ในระยะเติบโต โดยเฉพาะอาหารกล่องมียอดขายเฉลี่ยเดือนละ 5 ล้านกล่อง แบ่งเป็นอาหารแช่แข็งพร้อมรับประทาน 4 ล้านกล่อง และอาหารแช่เย็นพร้อมรับประทาน 1 ล้านกล่อง ปัจจุบันมีสินค้าประเภทอาหาร 75% ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 80% ภายใน 3-5 ปี



สำหรับปีหน้า บริษัทตั้งงบฯการตลาดใกล้เคียงกับปีนี้ เนื่องจากเริ่มเห็นสัญญาณบวกทางเศรษฐกิจ วางแผนขยายสาขาอีก 450 แห่ง ซึ่ง 10 เดือนที่ผ่านมา เซเว่นฯเติบโตทุกเดือน เฉลี่ยเดือนละ 5-10% แม้แต่สาขาที่อยู่ในย่านโรงงานซึ่งยอดขายเคยตกไป 5-10% ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี ตอนนี้ก็เริ่มปรับตัวดีขึ้นติดลบอยู่เพียง 2% โดยผลดำเนินงานในไตรมาส 3 มีรายได้ 28,769 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.5% และมีผลกำไร 1,135 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.1% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน" นายยุทธศักดิ์กล่าว




SIAM DISCOVERY หัวบันไดไม่แห้ง แฟชั่นแบรนด์เนมไทย-เทศต่อคิวจองพื้นที่เปิดช็อป

Siam CenterImage by edwin.11 via Flickr


สยามเซ็นเตอร์-สยามดิสคัฟเวอรี่ เนื้อหอมเสื้อผ้าแฟชั่นรุมตอม ทุ่มงบฯ 30 ล้านจับมืออินเตอร์แบรนด์-ร้านค้าภายในศูนย์ จัดกิจกรรมแฟชั่น-โปรโมชั่น ลดกระหน่ำ 70% รับหน้าขาย






นางศิริเพ็ญ อินทุภูติ ผู้บริหารฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้บริหารสยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ กล่าวว่า จากคอนเซ็ปต์ของสยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ ที่เป็นศูนย์กลางของการเป็นศูนย์รวมแฟชั่น ทำให้มีเสื้อผ้าแฟชั่นทั้งแบรนด์ไทยและอินเตอร์แบรนด์สนใจที่จะเข้ามาเปิดช็อปจำนวนมาก โดยที่ผ่านมามีเสื้อผ้าแฟชั่นอินเตอร์แบรนด์มากกว่า 20 แบรนด์เข้ามาเปิดตัวทั้งในสยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ ล่าสุดต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา another F.C.K. มัลติแฟชั่นแบรนด์ จากฮ่องกง จะเปิดแฟลกชิปสโตร์แห่งแรกในไทยที่ชั้น 4 สยามเซ็นเตอร์ และคาดว่าจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโดยรวมที่ดีขึ้น ในปีหน้าคาดว่าจะมีอินเตอร์แบรนด์สนใจจะเข้ามาเปิดช็อปเพิ่มขึ้น




นอกจากนี้ เพื่อรองรับหน้าขายในช่วงเทศกาลปลายปี ประกอบกับกำลังซื้อของตลาดค้าปลีกในช่วงเทศกาลที่ปรับตัวดีขึ้น บริษัทได้ทุ่มงบฯ 30 ล้านบาทในการจัด แคมเปญ "Luxury of Giving 2010" ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน-3 มกราคมปีหน้า ด้วยกลยุทธ์การตลาด "Real Experience Dynamic" ที่เน้นสร้างประสบการณ์และบรรยากาศการช็อปปิ้งผ่านแฟชั่นอีเวนต์ที่แตกต่างและต่อเนื่องทุกสัปดาห์



รวมทั้งการจัดโปรโมชั่นพิเศษที่ร่วมกับบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ มอบส่วนลดสูงสุดถึง 70% ซึ่งไม่เคยลดมาก่อนสำหรับผู้ใช้จ่ายผ่านบัตรและรับบัตรส่วนลดจากร้านค้ากว่า 250 ร้านค้า ภายใน 2 ศูนย์ และแพ็กเกจโรงแรมที่พักเมื่อซื้อสินค้าครบตามกำหนด



"การจัดแคมเปญดังกล่าว นอกจากจะเป็นการร่วมมือกับอินเตอร์แบรนด์ดังต่าง ๆ กว่า 10 แบรนด์แล้ว ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ดีไซเนอร์หน้าใหม่ ๆ เข้ามาเปิดหรือออกบูทขายของในงานแฟชั่นโชว์ด้วย คาดว่ากิจกรรมนี้จะช่วยเพิ่มทราฟฟิกลูกค้าให้เข้ามาสองศูนย์รวมกว่า 50% จากเดิม 80,000-100,000 คนต่อวัน เป็นคนไทย 70% และต่างชาติ 30% คาดว่าในส่วนลูกค้าต่างชาตินั้นจะมีเพิ่มขึ้นอีก 20% จากเดิม 30%"



นางศิริเพ็ญกล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาศูนย์มีการไปจัดโรดโชว์ในหลาย ๆ ประเทศ และเป็นตัวกระตุ้นตลาดได้เป็นอย่างดี และปีหน้าบริษัทมีแผนจะขยายการโรดโชว์ออกไปในหลาย ๆ ประเทศ ทั้งยุโรป จีน ญี่ปุน ออสเตรเลีย และฮ่องกง



"คาดหวังว่าจากแนวโน้มของอารมณ์การจับจ่ายที่เริ่มดีขึ้น ประกอบกับเป็นช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองและการจัดกิจกรรมกระตุ้นดังกล่าวจะทำให้บรรยากาศการ จับจ่ายเป็นไปอย่างคึกคัก"




Reblog this post [with Zemanta]

TESCO BIG C เปิดศึกกระเช้าสุขภาพ งัดกลยุทธ์เงินผ่อน0%กระตุ้น



ยักษ์ค้าปลีกแย่งเค้กกระเช้าพันล้าน พร้อมใจขนสินค้าเพื่อสุขภาพรับเทศกาล จับจ่าย "TESCO LOTUS" ปรับราคา-งัดผ่อน 0% รับกระเป๋าแฟบ พร้อมขนของขวัญ ลดราคาถึง 40% ส่วน "บิ๊กซี-คาร์ฟูร์" เปิดฉากลุยพร้อมยิงแคมเปญยาวถึงกลางเดือนมกราคม





นายสตีฟ แฮมเม็ทท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด ผู้บริหารเทสโก้ โลตัส เปิดเผยว่า จากภาพรวมของกำลังซื้อที่ดีขึ้นในขณะนี้ ทำให้มั่นใจว่า บรรยากาศการจับจ่ายในช่วงปลายปีโดยเฉพาะตลาดกระเช้าของขวัญตลาดรวมของกระเช้าน่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา และคาดว่ามูลค่าตลาดรวมน่าจะดีดกลับขึ้นมาถึง 1,000 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาที่มูลค่าตลาดรวมปรับตัวลดลงเหลือเพียงประมาณ 700 ล้านบาท




นายสตีฟยังกล่าวด้วยว่า ในช่วงเทศกาลปลายปีนี้เชื่อว่าผู้บริโภคจะออกมาจับจ่ายมากขึ้น แต่จะยังเน้นในเรื่องของความคุ้มค่าเป็นหลัก และเพื่อให้สอดรับกับความต้องการดังกล่าว เทสโก้ โลตัส โดยราคากระเช้าจะเริ่มต้นที่ 185 บาท จากปีที่ผ่านมาที่ตั้งราคาไว้สูงกว่านี้ประมาณ 10 บาท ส่วนราคาสูงสุดจะอยู่ที่ 2,945 บาท



รวมทั้งได้จัดแคมเปญ "สถานีแห่งความสุข" ขึ้นมากระตุ้น ด้วยการนำของขวัญและสินค้ามากกว่า 2,000 รายการ ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้า มาลดราคาสูงสุดถึง 40% สำหรับลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยนำมาจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน-4 มกราคม นอกจากนี้ยังมีการจัดวางสินค้าตามกลุ่มราคา เช่น กลุ่มสินค้า 19 บาท กลุ่มสินค้า 29 บาท หรือกลุ่มสินค้า 199 บาท เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่มองหาของขวัญที่ตัวเองต้องการตามกลุ่มราคาได้อย่างรวดเร็วขึ้น



"สินค้าที่จัดลงกระเช้าปีนี้ หลัก ๆ จะเน้นไปที่สินค้าเพื่อสุขภาพที่เป็นกระแสอยู่ในเวลานี้ นอกจากนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้ากลุ่มองค์กร เทสโก้ โลตัส ได้เพิ่มบริการพิเศษ ฮอตไลน์ เซอร์วิส สำหรับองค์กรที่ต้องการจะซื้อ กระเช้าของขวัญจำนวนมาก"



ปัจจุบัน เทสโก้ฯมีฐานสมาชิกบัตรคลับการ์ดที่แอ็กทีฟ 3.3-3.6 ล้านคน และช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม บริษัทก็จะจัดส่งคูปองเงินสดและคูปองส่วนลดให้สมาชิกเป็นครั้งแรก เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าสมาชิกกลับมาจับจ่ายในช่วงเทศกาล พร้อมกันนี้เทสโก้ โลตัสยังได้จัดแคมเปญพิเศษกับกระเช้าของขวัญบางส่วน ด้วยการมอบคะแนนสะสมให้พิเศษอีก 1,000 คะแนน สำหรับสมาชิกบัตรคลับการ์ด



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้เทสโก้ โลตัสยังจัดรายการส่งเสริมการขาย ด้วยการให้ลูกค้าสามารถซื้อกระเช้าในระบบเงินผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน ด้วยบัตรเทสโก้ วีซ่า หรือเฟิร์สช้อยส์ และหากผ่อนกระเช้าที่ร่วมรายการตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไป ผ่านบัตรเทสโก้ วีซ่า ตั้งแต่ 5,000 บาท จะได้รับสิทธิ์เริ่มผ่อน ตั้งแต่หลังสงกรานต์เป็นต้นไป



จากการสำรวจเว็บไซต์ช็อปปิ้งออนไลน์ www.atbigclick.com ของ BIG C เมื่อช่วงวันที่ 18 พฤศจิกายน พบว่าเริ่มมีการโปรโมตกระเช้าของขวัญเพื่อรับเทศกาลด้วยเช่นกัน โดยมีราคาเริ่มต้น ตั้งแต่ 259-2,365 บาท มีทั้งหมดจำนวน22 ชุด โดยสินค้าที่บิ๊กซีนำมาจัดลงกระเช้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าสุขภาพ เช่น เครื่องดื่มช็อกโกแลต ผลไม้กระป๋อง รวมถึงสินค้านำเข้าและเฮาส์แบรนด์ โดยแต่ละกระเช้าจะมีการออกแบบคอนเซ็ปต์ที่แตกต่างกัน จำหน่ายตั้งแต่วันนี้จนถึง 15 มกราคม



ส่วน CARREFOUR ก็ได้จัดเทศกาลกระเช้าของขวัญ เริ่มตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน-10 มกราคม ภายใต้คอนเซ็ปต์ ที่คาร์ฟูร์ ความสุข...ให้ได้ไม่รู้จบ พบกับกระเช้าหลากหลายในราคาสุดพิเศษ นอกจากนี้ ลูกค้าสามารถรับบัตรกำนัลเงินสด เมื่อซื้อกระเช้าครบตั้งแต่ 4,000-200,000 บาท จะได้รับบัตรเงินสดมูลค่าตั้งแต่ 300-34,000 บาท



Reblog this post [with Zemanta]

Saturday, November 21, 2009

Robinson to add eight stores in three years


Robinson Department Store Plc will speed up its expansion plan for the upcoming economic recovery by investing 3 billion to 4 billion baht in another eight new projects over the next three years. Store expansion is one of the company's three priorities for next year, along with brand building and customer relationship management, said President Preecha Ekkunakul.

"In the past, we opened just one outlet [a year] on average. But we will move at a faster pace with at least two or three new branches per year after the economy gets better," he said.

The new branches next year will include one at a Central Pattana shopping complex, he said.

Robinson wants outlets across the country and in the next five years may open 10 branches to double its stores upcountry, said Mr Preecha.

The investment budget will come from the company's cashflow, he added.

The 23rd Robinson branch will open in Khon Kaen on Dec 3. The 680-million-baht store covers 20,000 square metres and features a luxurious, hip atmosphere. Along with luxury and fashion brand names it will stock items from the Only@Robinson house-brand line.

Robinson has confidence in its Khon Kaen store because the province has the highest per capita income in the Northeast, said Mr Preecha. More than 3 million customers can reach Robinson Khon Kaen within an hour and Khon Kaen is a centre for business, education and transport, he added. The company will spend 10 million baht to promote the store.

In addition to its outlet expansion, Robinson will focus on brand building and customer relationship management to draw customers.

"In the past two years, we have slowed down marketing events because the economy was not good. But next year, we anticipate that the economy will recover and we will then allocate more budget to build brand and communicate with customers," said Mr Preecha.

The company plans to spend 80 million baht to launch its campaign for the upcoming festive season. The company expects its sales this year to grow by 3-4%.

Robinson shares (ROBINS) closed yesterday on the Stock Exchange of Thailand at 9.70 baht, down five satang, in trade worth 5.23 million baht.
Reblog this post [with Zemanta]

Friday, November 20, 2009

THE MALL ลั่นกวาด7พันล้าน ผนึก3ศูนย์อัดแคมเปญทิ้งทวน



THE MALL เร่งครีเอตดีมานด์ตลาดเทศกาลปลายปี หวังกวาดยอดขาย 7 พันล้าน ทุ่มงบฯก้อนโตอัด 4 แคมเปญใหญ่ เน้นตกแต่งสร้างบรรยากาศคึกคักผ่านทั้ง 3 ศูนย์ เดอะมอลล์ ดิ เอ็มโพเรียม สยามพารากอน จัดทัพสินค้าทุกแคทิกอรี่ใส่คอนเซ็ปต์กิฟต์เฟสติวัลในราคาเริ่มต้นแค่ 100 บาท มั่นใจตลาดดีวันดีคืนปิดยอดขายสิ้นปี 4 หมื่นล้าน



นายชำนาญ เมธปรีชากุล ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสสายการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวถึงแผนการทำตลาดของ 3 ศูนย์การค้า คือ เดอะมอลล์, ดิ เอ็มโพเรียม และสยามพารากอน ว่าในช่วงปลายปีนี้ นอกจากเป็นหน้าขายหลักของธุรกิจค้าปลีกแล้วนั้นภาพความเคลื่อนไหวของทั้งตลาดก็มีแนวโน้มที่ดีมากขึ้นต่อเนื่องเห็นได้จากจำนวนทราฟฟิกของทั้ง 3 ศูนย์ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมาที่เพิ่มขึ้นกว่า 10% เช่นเดียวกับตัวเลขการ จับจ่ายภายในศูนย์ที่โตขึ้น 5-6% กลายเป็นสัญญาณบวกของกำลังซื้อที่ดีวันดีคืน




ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสสายการตลาด เดอะมอลล์ กรุ๊ป ยังกล่าวด้วยว่าทั้งนี้ กลุ่มเดอะมอลล์ตั้งเป้ายอดขายในช่วงเทศกาลปลายปีนี้ 7,000 ล้านบาท ผ่านแคมเปญ "2010 brilliant thanks" โดยรูปแบบการทำตลาดจะเน้นที่สร้างบรรยากาศภายในศูนย์การค้าให้สนุกสนาน คึกคักเพื่อเป็นตัวเร่งให้เกิดอีโมชั่นนอลและอยากที่จะออกมามาจับจ่าย โดยทั้ง 3 ศูนย์จะตกแต่งดิสเพลย์บรรยากาศภายใต้คอนเซ็ปต์ที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นลูกค้าหลัก โดยจะเริ่มตั้งแต่วันนี้ -17 ม.ค.ปีหน้า



โดยตลอด 60 วันของแคมเปญส่งท้าย ปีนี้ นอกจากดิสเพลย์ ศูนย์เร่งบรรยากาศจับจ่ายแล้วนั้น กลุ่มเดอะมอลล์ได้วางงบฯ 200 ล้านบาท สำหรับการทำตลาดเชิงรุกในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การให้สิทธิพิเศษสำหรับราคาสินค้าหรือโปรโมชั่นในกลุ่มลูกค้าเอ็มการ์ด จำนวน 1.2 ล้านบัตร แลกคะแนนเป็นส่วนลดสูงสุด 50% รวมทั้งการจับมือกับพันธมิตรทั้งโรงแรม สายการบิน และบัตรเครดิต เพื่อลุ้นโชครางวัลรวมมากกว่า 7 ล้านบาท



"กลยุทธ์หลักการจับมือกับคู่ค้าเป็นแนวทางหลักในการทำตลาดของกลุ่มเดอะมอลล์กรุ๊ปมาอย่างต่อเนื่อง และภายใต้แคมเปญ "2010 brilliant thanks" เดอะมอลล์จะเพิ่มอีก 4 แคมเปญใหญ่เข้าเสริมเพื่อกระตุ้นความแรงตลอดแคมเปญ"



นายชำนาญกล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้กลุ่มเดอะมอลล์ได้จัดรูปแบบสินค้าในทุกแผนกให้เป็นรูปแบบการจัดเซตของขวัญ หรือแคทิกอรี่มาร์เก็ตติ้งเพื่อให้เข้ากับเทศกาลและชี้เทรนด์ให้กับลูกค้าผ่านเพอร์ซันนอล ช็อปเปอร์ที่จะเข้ามาช่วยลูกค้าเลือกซื้อสินค้าเพื่อให้สอดคล้องกับงบฯของแต่ละคน ในทุกแผนก อาทิ บิวตี้ฮอลล์ เพาเวอร์มอลล์ บีเทรนด์ และ เมนอินเทรนด์ เป็นต้น



"โดยเฉพาะในแผนกบีเทรนด์ ซึ่งจะมีกลุ่มลูกค้าเข้ามากที่สุดมีมีกูรูชื่อดังในแวดวงต่าง ๆ เข้ามาช่วยเลือกสินค้าในราคาเริ่มต้นเพียง 100-300 บาทก็สามารถซื้อของขวัญได้ ทั้งนี้ กลุ่มเดอะมอลล์ตั้งเป้ายอดขายทั้งปี 4 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้น 3 -5%" นายชำนาญกล่าว



Reblog this post [with Zemanta]

Thursday, November 19, 2009

Retail act faces more revisions

Vejjajiva - World Economic Forum Annual Meetin...Image by World Economic Forum via Flickr

The cabinet yesterday called for yet another review of the long-delayed draft retail and wholesale act proposed by the Commerce Ministry, saying it needed to be merged with another draft prepared by the Thailand Trade Representative Office (TTR).

Prime Minister Abhisit Vejjajiva told the Commerce Ministry and the TTR to jointly consider the two drafts and merge them into one proposal.

Kiat Sittheeamorn, the TTR chief, is expected to chair a working panel to speed up the revisions of the act, which has been under consideration for more than five years.

According to the Commerce Ministry draft finalised after nine public hearings, operators of modern retail stores would be required to gain official permission before they could build new outlets.

The draft retail law would cover stores larger than 120 square metres. It would also establish committees, drawn from the public and private sectors, to vet new developments

The government and retailers have agreed that four types of businesses should require official permission to be developed. They are very large retailers with outlets larger than 3,000 sq m, large retailers sized from 1,000 to 2,999 sq m, medium-size retailers of 300 to 999 sq m, and small retailers sized from 120 to 299 sq m.

Proposed retail developments in Bangkok would need permission from a 15-member committee chaired by the commerce minister. Developments upcountry would require approval from a 13-member committee chaired by the provincial governor.

There are also limits on how close to municipal centres new retail developments can be, ranging from one kilometre for small retailers and three km for medium-size retailers to five km for large and 10 km for very large ones.

The committees will also decide on the retailers' operating hours.

Thanapon Tangkananan, president of the Thai Retailers Association, said the Commerce Ministry draft was still not clear on the details of how to help small-scale retailers, who had lobbied for the law in the first place.

He has not seen the TTR draft.

Somchai Pornratanacharoen, president of the Thailand Wholesale and Retail Association, said the government should push the legislation through as the Commerce Ministry draft had passed through nine public hearings.

"If the retail law is not implemented within one or two years, it will be too late, as over the next four to five years large retailers will dominate the whole market," he said.

A few large retailers now control 60% of the 1.4-trillion-baht market.

Mr Somchai also questioned whether the legislation could even be passed by the current fragile coalition government.
Reblog this post [with Zemanta]

Retailers gear up for gift basket season


Competition in the gift basket market will intensify in the forthcoming festive season with retailers offering high discounts as consumer spending improves, operators say.

Major supermarkets, including The Mall Group's Home Fresh Mart and Central Food Retail's Tops Supermarket, have launched heavily discounted promotions to boost sales.


The Mall Group plans to spend 50 million baht on its "Gourmet Market & Home Fresh Mart Blissful Hampers 2010" from Nov 15 to Jan 5. It will offer up to a 31% discount.

Tops Supermarket will spend 60 million baht on its "Give the Joy of Life With The Five Elements Gift Baskets", which offers a maximum 30% discount. The promotion runs from now till Jan 15 2010.

The value of the gift basket market dropped by 20% to 850 million baht last year as the recession and political turmoil crimped consumer spending. But demand this year is forecast to grow by 20% to 1.1 billion baht, matching sales in 2007-08.

Chamnarn Maythapreechakul, senior chief marketing officer at The Mall Group, and Chiranan Phupat, vice-president of marketing and merchandising at Central Food Retail, both said consumer confidence had returned to normal in October after plummeting in April due to political unrest. "We saw crowds of shoppers at our shops since early November," Mr Chamnarn said.

"They were not only regular Thai shoppers but also tourists. The spending on electrical appliances, products for teenagers and living items also improved."

Improved purchasing power has been realised in the increased sales of high-ticket items, said Mrs Chiranan.
Reblog this post [with Zemanta]

Boots prioritises Thai branch expansion

Boots GroupImage via Wikipedia

Thailand is a key market for Boots International's expansion plans next year.

The firm also became the first major retail chain to get clearance from the Food and Drug Administration to sell erectile dysfunction drugs.

Gordon Farquhar, managing director of Boots International, said it would continue to invest in Thailand, the US, the Netherlands and Norway.

"Thailand is a very important market and contributes about half of our global sales," he said, while in Bangkok yesterday.

Boots, which opened its first branch in Thailand at SCB Park in Bangkok 12 years ago, now has 160 stores nationwide.

"Thailand is the best place to continue our expansion. However, we will expand step-by-step with the right products and services," said Mr Farquhar.

Ian Hunter, managing director of Boots Retail (Thailand), the local operator, said the company plans to open 10 new stores next year, bringing the total outlets to 176 in its 2010 financial year, which starts April 1.

The expansion will help sales grow by double-digits next year, he said.

Yesterday, the company announced it had received approval from the Food and Drug Administration to sell erectile dysfunction pills to men with a doctor's prescription for the drug. Some 121 Boots outlets are certified to sell the medicine.

After getting the FDA approval, Boots will become the biggest retail chain to sell the drug, with the potential to gain a 50% market share in the future.

Currently, there are about 350 certified pharmacies nationwide that can sell the drug. The market for erectile dysfunction pills in Thailand is valued at about 300 million baht.
Reblog this post [with Zemanta]

Monday, November 16, 2009

TESCO LOTUS ผุดอีกตำบลวังไผ่ชุมพร

Lotus Tesco in Udon Thani, ThailandImage by sama sama - massa via Flickr


ตำบลวังไผ่ ชุมพร เนื้อหอม "เทสโก้ โลตัส" ผุดสาขาเพิ่มเป็นรายที่ 3 หลังแม็คโครและคาร์ฟูร์ปักธงแล้ว ชมรมผู้ค้าปลีกชุมพรจี้เทศบาลตำบลวังไผ่เร่งแก้เทศบัญญัติขนาดอาคารค้าปลีกกลับไปเป็น ไม่เกิน 500 ตร.ม. แนะกระจายไปลงทุนพื้นที่อื่นบ้าง






นายไชยพลา สมบัติบริบูรณ์ ประธานชมรมผู้ค้าปลีกจังหวัดชุมพร กล่าวว่า ขณะนี้ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่งได้ติดต่อซื้อที่ดิน 30 ไร่ ริมถนนสายชุมพร-ระนอง เยื้องกับปั๊มเอสโซ่โชคอนันต์ ต.วังไผ่ อ.เมืองชุมพร ซึ่งอยู่ในเขตเทศบาลตำบลวังไผ่ เพื่อก่อสร้างอาคาร ทั้งที่ปัจจุบันพื้นที่ในเขตเทศบาลตำบลวังไผ่ มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แล้วถึง 2 ราย คือ แม็คโครและคาร์ฟูร์ หากมีการอนุญาตให้ก่อสร้างห้างขนาดใหญ่อีก ร้านค้าขนาดเล็กในเขตเทศบาลตำบลวังไผ่ และในเขตเทศบาลเมืองชุมพรที่มีพื้นที่ติดกันคงอยู่ไม่ได้




นายไชยพลากล่าวว่า ก่อนนี้ในการประชุมร่วมระหว่างนายการัณย์ ศุภกิจวิเลขการ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร นายมาโนช ธัญญาบัตร นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลวังไผ่ และผู้แทนชมรมผู้ค้าปลีกจังหวัดชุมพร ได้ข้อสรุปว่า เทศบาลตำบล (ทต.) วังไผ่จะทำประชาพิจารณ์เพื่อแก้เทศบัญญัติ "อาคารพาณิชยกรรมประเภทค้าปลีกค้าส่ง" ที่มีขนาดไม่เกิน 9,000 ตร.ม.ให้กลับไปเป็นขนาดไม่เกิน 500 ตร.ม.เหมือนเดิม และขอให้ผู้ว่าฯชุมพรจัดประชาพิจารณ์ในท้องถิ่นและพื้นที่โดยรอบที่จะมีการก่อสร้างห้างค้าปลีกค้าส่ง



"ขณะนี้ ทต.วังไผ่ยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ ซึ่งที่ปรึกษาด้านกฎหมายของชมรมยืนยันว่า ทต.วังไผ่สามารถแก้เทศบัญญัติกลับไปได้เลยเมื่อมีการประชุมสภาเทศบาลโดยไม่ต้องทำประชาพิจารณ์อีก ชมรมผู้ค้าปลีกชุมพรจึงขอให้นายสราวุธ อ่อนละมัย ส.ส.ชุมพร ช่วยเหลือ โดยขอยืนยันว่า ชมรมฯมิได้ต้องการขัดขวางความเจริญแต่ต้องการอยู่บนพื้นฐานเศรษฐกิจ พอเพียงเท่านั้น" นายไชยพลากล่าว



ด้านนายสราวุธ อ่อนละมัย ส.ส.ชุมพร พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การอนุมัติให้ก่อสร้างอาคารเป็นอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ๆ ขณะนี้ในตำบลวังไผ่มีห้างขนาดใหญ่แล้ว 2 แห่ง หากมีรายใหญ่เข้ามาอีกคงทำให้ร้านค้าขนาดเล็กในตำบลวังไผ่และพื้นที่ใกล้เคียงได้รับผลกระทบแน่นอน ดังนั้นห้างขนาดใหญ่ที่จะมาเปิดสาขาที่ชุมพรอีกควรกระจายไปยังพื้นที่อื่นบ้าง ไม่ควรมากระจุกตัวอยู่ในที่ใกล้ ๆ กันแบบนี้" นายสราวุธกล่าว



แหล่งข่าวในเทศบาลตำบลวังไผ่เปิดเผยว่า การแก้เทศบัญญัติเกี่ยวกับพื้นที่ก่อสร้างอาคารพาณิชยกรรมค้าปลีกค้าส่งจาก ไม่เกิน 500 ตร.ม. เป็นไม่เกิน 9,000 ตร.ม.เกิดขึ้นก่อนการก่อสร้างห้างแม็คโครและคาร์ฟูร์ในพื้นที่ตำบลวังไผ่ แต่การที่ชมรมค้าปลีกชุมพรต้องการให้มีการแก้ไขเทศบัญญัติดังกล่าวกลับไปเป็นไม่เกิน 500 ตร.ม. คงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะก่อนการแก้ไขเป็นไม่เกิน 9,000 ตร.ม. ทางเทศบาลตำบลวังไผ่ได้ทำประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่แล้ว



ส่วนกรณีที่ชมรมผู้ค้าปลีกชุมพรระบุว่า มีการกว้านซื้อที่ดินประมาณ 30 ไร่ เยื้องปั๊มน้ำมันเอสโซ่โชคอนันต์ ต.วังไผ่ ริมถนนชุมพร-ระนองนั้นเป็นความจริง แต่ขณะนี้นายกเทศมนตรีตำบลวังไผ่ยังไม่มีการลงนามอนุมัติให้ก่อสร้างอาคารของห้างใด



รายงานข่าวแจ้งว่า ค้าปลีกขนาดใหญ่ที่จะเปิดสาขาเพิ่มอีกเป็นรายที่ 3 ในตำบลวังไผ่ ริมถนนชุมพร-ระนอง คือ เทสโก้ โลตัส ซึ่งปัจจุบันเทสโก้ โลตัส เปิดสาขาแรกอยู่ที่อำเภอหลังสวน ขณะที่คาร์ฟูร์จะเปิดบริการกลางเดือน ธ.ค.นี้



Reblog this post [with Zemanta]

LinkWithin

Related Posts with Thumbnails