"คาร์ฟูร์" ประกาศขายกิจการใน 3 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งในไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ สร้างความฮือฮาให้กับวงการค้าปลีกทั่วโลก เพราะ "คาร์ฟูร์" ถือเป็นไฮเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำระดับโลก
สำหรับในประเทศไทย ที่ "คาร์ฟูร์" ถูกจับตามองเป็นพิเศษ เพราะด้วยขนาดที่ใหญ่และมีจำนวนสาขารวมถึง 44 แห่ง มากกว่าทั้งในมาเลเซีย และสิงคโปร์ การเสนอตัวประมูลรอบแรก ผ่านพ้นไปด้วยดี โดยมีผู้ประกอบการที่ล้วนอยู่ในระดับบิ๊กของแวดวงต่างๆ ทั้งในโลคัลและอินเตอร์เนชั่นแนล ที่เข้าร่วมเสนอตัวประมูล และมีผู้ผ่านเข้ารอบ 2 เพียง 4 บริษัทเท่านั้น ได้แก่ กลุ่มกาสิโน ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ในเมืองไทย กลุ่มเซ็นทรัล ภายใต้ตระกูล "จิราธิวัฒน์" เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) บริษัทคอนซูเมอร์รายใหญ่ในกลุ่มนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ค่ายเบียร์ช้าง และ ปตท. บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงาน
ขณะที่ผู้ที่ไม่ผ่านการประมูล ประกอบไปด้วย เทสโก้ เครือข่ายค้าปลีกรายใหญ่จากอังกฤษ อิออน กรุ๊ป ยักษ์ค้าปลีกจากญี่ปุ่น และแดรี่ ฟาร์ม อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้งส์ กลุ่มบริษัทสิงคโปร์ โดยทั้ง 4 บริษัทที่ผ่านการประมูลจะต้องนำเสนอแผนงานอีกครั้งในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งเป็นการบ้านที่หนักหน่วงว่าใครจะนำเสนอเม็ดเงินได้โดนใจ และมีแผนงานที่เข้าตา ที่ "คาร์ฟูร์" ต้องการมากที่สุด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดในวงการธุรกิจค้าปลีกเมืองไทย แสดงทรรศนะว่า สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมากที่สุด สำหรับทั้ง 4 องค์กรที่เข้าร่วมประมูลในครั้งนี้ คือ เรื่องของ "เงิน" เพราะเป็นสิ่งที่คาร์ฟูร์ ฝรั่งเศส ต้องการมากที่สุด สิ่งนี้จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ ยักษ์ใหญ่อย่าง "เทสโก้" ตกรอบแรกไปโดยปริยาย ซึ่งไม่ใช่ว่า "เทสโก้" ไม่มีเงิน แต่เป็นเพราะเทสโก้ เสนอราคาประมูลให้ต่ำกว่าความเป็นจริง
และแม้ "คาร์ฟูร์" เชื่อว่าการขายกิจการครั้งนี้จะต้องได้เงินไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่หากผู้ร่วมประมูลเสนอเม็ดเงินซื้อกิจการเฉพาะในเมืองไทย ได้อย่างสวยหรู ก็น่าจะที่เฉือนกิจการในเมืองไทยขายทันที แทนที่จะรอขายยกแพ็ก
หากวิเคราะห์ถึงเป้าหมายในการเข้าซื้อกิจการของทั้ง 4 บริษัทที่ผ่านเข้ารอบ ต่างมีข้อได้เปรียบ และเสียเปรียบใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะ "ปตท." หากสามารถควัก 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯซื้อกิจการคาร์ฟูร์ทั้ง 44 สาขาได้ ก็จะทำให้ปตท. มีเอาต์เลตเพิ่มขึ้นและมีเครือข่ายที่จะช่วยกระจายสินค้าเสริมความเป็นรีเทลให้ปตท. ได้เต็มรูปแบบขึ้น เพราะโลเกชันของคาร์ฟูร์ ถือเป็นทำเลที่อยู่ในเกรดเอและมีลูกค้าประจำจำนวนมาก ซึ่งจะช่วยเป็นฐานลูกค้าที่สำคัญหากในอนาคตที่ปตท. ต้องการขยายไลน์ธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจค้าปลีก หรือธุรกิจอื่นๆ ส่วนจุดอ่อนของ ปตท. คือ การขาดมืออาชีพที่เชี่ยวชาญด้านค้าปลีกเข้ามาบริหาร ทำให้เชื่อว่าต้องเฟ้นหามือดีในวงการเข้ามาช่วยเสริมทัพ
ด้าน "เบอร์ลี่ ยุคเกอร์" ซึ่งที่ผ่านมามีจุดแข็งด้านการเป็นผู้เชี่ยวชาญสินค้าอุปโภค บริโภค และด้านการกระจายสินค้าที่มีประสบการณ์สูง การได้ "คาร์ฟูร์" เข้ามาอยู่ในครอบครองจะช่วยทำให้ช่องทางการจำหน่ายของเบอร์ลี่ แข็งแกร่ง และมีโอกาสก้าวจากตัวแทนจำหน่าย ขึ้นเป็นผู้ค้าเต็มตัว อีกทั้งยังสามารถพัฒนาบุคลากรให้เติบโตและกลายเป็นมืออาชีพได้ในอนาคต ขณะที่เบอร์ลี่ เองจุดอ่อนคืออาจจะขาดความชำนาญในด้านการบริหารจัดการค้าปลีก ซึ่งย่อมต้องการมืออาชีพเข้ามาเสริมเช่นเดียวกัน
ส่วน "กลุ่มกาสิโน" หรือบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ แม้จะมีความชำนาญในด้านธุรกิจค้าปลีก และน่าจะมีภาษีในด้านความเชี่ยวชาญการบริหารจัดการที่ดีกว่า การได้คาร์ฟูร์เข้ามาเสริมทัพ จึงช่วยเสริมทำให้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ขึ้น แต่ก็จะพบว่า การเป็นคู่แข่งที่เคยฟาดฟันกันมาก่อน ทำให้โลเกชันบางจุดที่มีสาขาของบิ๊กซีอยู่ จะทำให้ "โลเกชัน" เหล่านั้นหมดความหมาย และเป็นการบ้านหนักที่บิ๊กซี ต้องแก้ไขให้ได้ เช่นเดียวกับ "กลุ่มเซ็นทรัล" ที่แม้จะมีความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจค้าปลีก และเป็นเบอร์ 1 ที่มีพื้นที่ค้าปลีกสูงสุดในเมืองไทย และมีมือบริหารระดับโพรเฟสชันนัลอยู่เยอะ แต่ก็ยังขาดประสบการณ์ด้านการบริหารค้าปลีกประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ต ดังนั้นบทบาทหนัก จึงไปตกอยู่กับ "ท็อปส์" ที่อาจต้องทำหน้าที่บริหารจัดการหากกลุ่มเซ็นทรัล ได้สิทธิครอบครอง "คาร์ฟูร์"
อย่างไรก็ดี ผู้ที่ผ่านเข้ารอบ 2 ต่างซุ่มเตรียมแผนงาน พร้อมข้อเสนอที่เชื่อว่าจะเด็ดสุดให้กับคาร์ฟูร์ เพราะต่างเชื่อในศักยภาพของตนเอง โดยนายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือบีเจซี ในเครือบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเสนอแผนงานร่วมประมูลการซื้อกิจการของคาร์ฟูร์ในรอบ 2 ที่จะมีขึ้นในเดือนตุลาคมนี้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาว่า จะนำเสนอจำนวนเงินในการซื้อและแผนงานที่เตรียมไว้ว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งสามารถเป็นไปได้ทั้งการเสนอเข้าซื้อกิจการโดยบีเจซี แต่เพียงผู้เดียวเพราะบีเจซีเองมีศักยภาพมากพอ และการร่วมกับพาร์ตเนอร์ เพื่อเสริมจุดแข็ง ปิดจุดอ่อนซึ่งจะทำให้บีเจซีแข็งแกร่ง และเพิ่มศักยภาพให้มากขึ้นด้วย ส่วนการจะได้หรือไม่เชื่อว่า หากเสนอตัวเข้าร่วมประมูลย่อมมองเห็นโอกาสที่จะได้อยู่แล้ว
การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในวงการค้าปลีกเมืองไทยครั้งนี้ น่าจะมีข้อสรุปได้ก่อนสิ้นปีนี้ แล้วการแข่งขันที่เข้มข้น จะคึกคักและมีสีสันขึ้นมากเพียงใด ต้องติดตามตอนต่อไป....
No comments:
Post a Comment