Pages

Friday, November 19, 2010

GAME CHANGES BIG C รวบ CARREFOUR อำนาจต่อรองพุ่ง ซัพพลายเออร์ระทึก ! ขึ้นค่า "จีพี"

Picture from Thairath


หลังจากมีข้อสรุปชัดเจนว่า คาร์ฟูร์ได้ตัดสินใจขายสาขาในเมืองไทยให้กับบิ๊กซี ในเครือคาสิโนกรุ๊ป ที่เสนอราคาถึง 868 ล้านยูโร หรือประมาณ 35,534 ล้านบาท ด้วยการเฉือนชนะเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (บีเจซี) ที่เป็นตัวเต็ง และกลุ่มเซ็นทรัล

แหล่งข่าวจากบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าที่ป้อนสินค้าให้ค่ายค้าปลีกรายใหญ่มองว่า การที่คาสิโนซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่บิ๊กซีชนะการประมูลครั้งนี้จะเป็นตัวแปรสำคัญ ที่จะทำให้บิ๊กซีมีอำนาจการต่อรองกับซัพพลายเออร์เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีสาขา เพิ่มอีก 40 สาขา และมีความเป็นไปได้สูง ที่บิ๊กซีจะต้องขอปรับเพิ่มกำไรขั้นต้นหรือจีพี ขึ้นให้มาอยู่ในระดับเดียวกับที่บิ๊กซีเคยได้

"ที่ผ่านมาคาร์ฟูร์มีสาขาน้อยกว่าคู่แข่งทั้งโลตัสและบิ๊กซีจึงทำให้มีอำนาจต่อรองน้อย ค่าจีพีที่ซัพพลายเออร์ให้จึงน้อยไปตามสัดส่วน การที่บิ๊กซีได้สาขาของคาร์ฟูร์เพิ่มจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ซึ่งธุรกิจนี้อำนาจต่อรองเป็นหัวใจสำคัญในการแข่งขันและการสร้างกำไร"

นายตุลย์ วงศ์ศุภสวัสดิ์ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากนี้ไปการแข่งขันในตลาดค้าปลีกน่าจะรุนแรงมากขึ้น เพราะมีผู้เล่นหลักเหลือเพียง 2 ราย และเป็นผู้เล่นที่มีกำลังพอฟัดพอเหวี่ยงกัน แต่ในภาพรวมลูกค้าจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้

อย่างไรก็ตามเนื่องจากบิ๊กซีเป็นคีย์ เพลเยอร์ในตลาดค้าปลีก หากรวมสาขาของคาร์ฟูร์เข้าไปก็จะเป็นการเสริมความแข็งแกร่งและมีความได้เปรียบเรื่องต้นทุน รวมถึงทำเลที่จะทำให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด แต่ทั้งนี้คงต้องมีการปรับระบบปฏิบัติการ ตลอดจนการบริหารจัดการเรื่องสาขาที่อยู่ในทำเลใกล้เคียงกัน ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร



ด้านซัพพลายเออร์สินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ "พีแอนด์จี" นายเมธี จารุมณีโรจน์ หัวหน้ากลุ่มงานสื่อสาร ผลิตภัณฑ์ดูแลภาพลักษณ์บุรุษ ประจำภูมิภาคเอเชีย พีแอนด์จี กล่าวในเรื่องนี้ว่า "ถามว่า รู้สึกหวั่นเกรงกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหรือไม่ เราไม่ได้หวั่นเกรง อย่าไปตระหนก ท้ายที่สุดถ้าซัพพลายเออร์อยู่ไม่ได้ รีเทลก็อยู่ไม่ได้ ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน แนวทางบริหารจัดการของกลุ่มใหม่ที่จะเกิดขึ้นอาจจะเอื้อประโยชน์กับซัพพลายเออร์ก็ได้ ที่สำคัญจากนี้ซัพพลายเออร์ก็ต้องปรับตัว ควรมี Strategic choice มากขึ้น ว่าเรากำลังจะทำอะไรและชัดเจนมากขึ้นในแนวทางของเรา"

รายงานข่าวจากบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ระบุว่า การได้สาขาคาร์ฟูร์เข้ามาเพิ่ม อีก 42 สาขา จะเป็นโอกาสที่จะสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ปัจจุบันสาขาคาร์ฟูร์ แบ่งเป็นรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต 34 สาขา และในสาขาเหล่านี้มีพื้นที่ให้ ร้านค้าเช่า 37 สาขา โดยตั้งเป้าว่า จะมีรายได้ในปีนี้ราว 30 ล้านบาท เมื่อรวมส่วนของค้าปลีกที่เป็นไฮเปอร์มาร์เก็ต ของคาร์ฟูร์แล้ว บิ๊กซีจะมีไฮเปอร์มาร์เก็ต มากถึง 103 สาขา และคาดว่าจะมีรายได้รวมถึง 100,000 ล้านบาท สำหรับปีนี้ ซึ่งจะทำให้บิ๊กซีมีสาขาครอบคลุมยิ่งขึ้น

เนื่องจากคาร์ฟูร์ในไทยมีสาขาที่มีพื้นที่ให้ร้านค้าเช่าถึง 37 แห่ง ทำรายได้จาก ค่าเช่ารับมีสัดส่วน 50% ของ EBITDA (กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา) เมื่อรวมกับสาขาที่เป็นศูนย์การค้าของบิ๊กซีแล้ว จะทำให้บิ๊กซีมีศูนย์การค้า เกินกว่า 100 สาขา มีพื้นที่ให้เช่ารวมถึง 584,000 ตร.ม. ซึ่งเป็นการช่วยสร้างมูลค่าและยกระดับกลยุทธ์ของบิ๊กซีที่ต้องการเพิ่มจำนวนสาขา ทั้งในแง่ค้าปลีกและการบริหารศูนย์การค้าให้มีศักยภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตามการซื้อกิจการนี้จะต้อง นำเสนอและได้รับอนุมัติโดยผู้ถือหุ้นบิ๊กซี ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นที่จะจัดขึ้น ในวันที่ 5 มกราคม 2554 ซึ่งคาดว่าการซื้อกิจการจะดำเนินการได้แล้วเสร็จภายในต้นปี 2554

ผู้สื่อข่าวตั้งข้อสังเกตว่า จากการประเมินรายได้ของบิ๊กซีที่คาดว่าปีนี้จะมี รายได้รวมถึง 100,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่า รายได้ค่ายนี้จะขยับเข้าไปใกล้เทสโก้ โลตัส หมายเลข 1 ของตลาดค้าปลีกค้าส่งที่แจ้งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเมื่อก่อนหน้านี้ว่า มีรายได้ประมาณ 110,000-120,000 ล้านบาท และมีรายได้ใกล้เคียงกับเซเว่นอีเลฟเว่นที่มีรายได้ประมาณ 110,000 ล้านบาท แม็คโครมี รายได้ประมาณ 78,000 ล้านบาท ซึ่งจะทิ้งห่างมากขึ้น และท็อปส์มีรายได้ประมาณ 22,000 ล้านบาท

สำนักข่าวบลูมเบิร์กให้ข้อมูลว่า คาร์ฟูร์ ยักษ์ค้าปลีกอันดับ 2 ของโลก ขายกิจการในไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ เพื่อหันไปเน้นตลาดจีนและอินโดนีเซีย โดยตั้งเป้าเปิดไฮเปอร์มาร์เก็ต 22 แห่ง และดิสเคานต์สโตร์ 140 แห่ง ในจีนปีนี้ พร้อมเปิดสาขา 13 แห่ง ในอินโดนีเซีย

ขณะที่เอเชียถือเป็นตลาดเล็กที่สุดสำหรับยักษ์ค้าปลีกฝรั่งเศสรายนี้ หากวัดจากยอดขายในปีที่ผ่านมา หรือคิดเป็นเพียง 8.4% ของยอดขายทั่วโลก ส่วนฝรั่งเศส เป็นตลาดใหญ่ที่สุด สร้างยอดขายคิดเป็น 45% ตามด้วยตลาดอื่น ๆ ในยุโรปที่มี ยอดขายคิดเป็น 33% ด้านคาสิโนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ในเมืองไทย ซึ่งทำรายได้คิดเป็น 6.3% ของรายได้ในเอเชียของบริษัท
คาร์ฟูร์กลับลำ อยู่ต่อในมาเลย์, สิงคโปร์

คาร์ฟูร์ประกาศยกเลิกแผนขายธุรกิจในมาเลเซียและสิงคโปร์แล้ว หลังเพิ่งขายสาขาในไทยเมื่อต้นสัปดาห์

 เอเอฟพีรายงานว่า บริษัทค้าปลีกอันดับสองของโลกรองจากวอลล์มาร์ตซึ่งตัดสินใจขาย 42 สาขาในไทย 23 สาขาในมาเลเซียและอีก 2 สาขาในสิงคโปร์ เปลี่ยนใจอยู่ทำธุรกิจต่อใน 2 ประเทศหลัง เนื่องจากแผนประมูลขายกิจการในแดนเสือเหลืองและแดนลอดช่องไม่มีผู้ยื่นข้อเสนอที่น่าพอใจ

 ลาร์ส โอลาฟสัน ประธานบริหารห้างค้าปลีกจากฝรั่งเศสแห่งนี้กล่าวว่า "การขยายตัวในมาเลเซียมีแนวโน้มที่ดี เราสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ด้วยการทำธุรกิจเอง"

 ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันคาร์ฟูร์ตกลงขายธุรกิจในไทยให้กับ บิ๊กซี คู่แข่งซึ่งมีคาสิโนกรุ๊ปจากแดนน้ำหอมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ในราคา 868 ล้านยูโร (1.19 พันล้านดอลลาร์)   

No comments:

Post a Comment

LinkWithin

Related Posts with Thumbnails