Pages

Sunday, November 21, 2010

จุดอ่อนบิ๊กซีซื้อห้างคาร์ฟูร์

Photo Source: Bangkok Post


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - บริษัท คาสิโน กรุ๊ป เจ้าของร้านค้าปลีกยักษ์ใหญ่ในประเทศฝรั่งเศส ได้ชนะการประมูลซื้อ บริษัทคาร์ฟูร์ในประเทศไทย ที่มีสาขาทั้งสิ้น 42 สาขา
      
       นั่นหมายความว่า บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ในประเทศไทย และคาร์ฟูร์ ในประเทศไทย กำลังจะกลายเป็นธุรกิจของเจ้าของเดียวกัน
      
       นั่นคือ คาสิโน กรุ๊ป
      
       การรวมตัวกันของทั้งบิ๊กซี และคาร์ฟูร์ โดยจะส่งผลให้สาขาของบิ๊กซี เพิ่มเป็น 103 สาขา จาก 60 สาขาในปัจจุบัน
      
       นอกจากนั้น จะทำให้ตลาดค้าปลีกในประเทศไทยเหลือเพียง 2 เจ้าใหญ่เท่านั้น คือ บิ๊กซี และ เทสโก้ โลตัส
      
       การควบรวมดังกล่าว จะทำให้บิ๊กซีฯ มีส่วนแบ่งตลาดใกล้เคียงกับเจ้าตลาดอย่าง เทสโก้ โลตัสได้มากขึ้น โดยปัจจุบัน เทสโก้ โลตัส มีสาขาทั้งสิ้น 116 สาขา
      
       ทั้งนี้สำนักประชาสัมพันธ์คาร์ฟูร์ และแม็กซิม่า คอนซัลแตนท์ ส่งแถลงการณ์เรื่อง คาร์ฟูร์ ประกาศขายกิจการในประเทศไทยแล้ว โดยระบุว่า
      
       วันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา คาร์ฟูร์ ประกาศพิธีลงนามในสัญญากับ "บิ๊กซี" ซึ่งอยู่ในเครือคาสิโน กรุ๊ป สำหรับการขายธุรกิจคาร์ฟูร์ในประเทศไทย ด้วยมูลค่า 868 ล้านยูโร (ประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท)  โดยมูลค่านี้เทียบเป็น 120 % ของยอดขายสุทธิ และเป็น 13.0 x EBITDA
      
       การประกาศขายกิจการคาร์ฟูร์ ในประเทศไทย เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์คาร์ฟูร์โฟกัสในธุรกิจที่สามารถก้าวสู่การเป็นผู้นำได้
      
       ที่ผ่านมาธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยไม่เอื้ออำนวยให้คาร์ฟูร์ ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำ และยังไม่เห็นสัญญาณอย่างชัดเจน แม้จะเป็นช่วงระยะเวลากลาง หรือในระยะยาว
      


       คาร์ฟูร์ เริ่มเข้ามาก่อตั้งกิจการค้าปลีกในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 1996   ปัจจุบันนี้ มีสาขาทั้งสิ้นจำนวน 42 แห่ง โดยเป็นไฮเปอร์มาร์เก็ต 34 แห่ง ( 7 สาขาเป็นเจ้าของกิจการทั้งหมด )
      
       จัดเป็นกลุ่มผู้ค้าเครื่องอุปโภคบริโภคแบบโมเดิร์นเทรด อันดับ 5 ของประเทศไทย ข้อมูลทางการเงิน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2553 มีส่วนแบ่งการตลาด 6%, ยอดขายสุทธิ 723 ล้านยูโร และกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) รวม 67 ล้านยูโร ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา
      
       ส่วนบิ๊กซี เป็นธุรกิจไฮเปอร์มาร์เก็ต อันดับ 2 ของประเทศไทย โดยมีไฮเปอร์มาร์เก็ตทั้งสิ้น 69 แห่ง และในรอบ 12 เดือน จนถึงณ วันที่ 30 มิถุนายน ที่ผ่านมา มียอดขายสุทธิ 1,700 ล้านยูโร
      
       การซื้อกิจการคาร์ฟูร์ครั้งนี้ จะทำให้บิ๊กซี สามารถเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจค้าปลีกได้มากขึ้น เนื่องจากสามารถมีอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์ได้มากขึ้น และสามารถประหยัดเนื่องจากขนาดได้มากขึ้น รวมทั้งสามารถได้ทำเลที่ตั้งของคาร์ฟูร์ ซึ่งปัจจุบันกำลังมีข้อจำกัดเรื่องผังเมืองมากขึ้น
      
      
 การที่ผู้ถือหุ้นบริษัทบิ๊กซี ชนะการประมูล ทำให้ราคาหุ้นของเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ ร่วงทันที
      
       เนื่องจาก เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ ถือเป็นตัวเต็งว่าอาจชนะประมูลซื้อกิจการคาร์ฟูร์ในไทย เพื่อต่อยอดธุรกิจ ส่งผลให้มีแรงเก็งกำไรเข้ามาอย่างหนาแน่น อย่างไรก็ตาม หลังผลประมูลออกมาอย่างชัดเจน ส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาเพื่อลดความเสี่ยง
      
       ด้วยเหตุที่ก่อนหน้านี้ ฐาปน สิริวัฒนภักดีกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ของเบอร์ลี ยุคเกอร์ ได้ยอมรับว่า เบอร์ลี่ยุคเกอร์ เป็นบริษัทหนึ่งที่เข้าร่วมการประมูล
      
       สุทธิชัย จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการกำกับการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เคยประกาศเดินหน้าประมูลซื้อกิจการคาร์ฟูร์ ไฮเปอร์มาร์เก็ต เพื่อเติมเต็มธุรกิจค้าปลีกในเครือ
      
       แต่ก็ผิดหวัง แม้จะมีงบลงทุนเหลือเฟือ
      
       อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว บิ๊กซี ได้ลงนามในสัญญาเข้าซื้อกิจการคาร์ฟูร์ในประเทศไทย ด้วยมูลค่า 35,500 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 8.6 เท่า ของมูลค่าประมาณการของ EBITDA (กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา) ปี 2553
      
       คาดว่าการรวมกิจการครั้งนี้ จะทำให้บิ๊กซี มีรายได้รวมถึง 100,000 ล้านบาทในปีนี้
      
       โดยจากข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ในปี 2551 คาร์ฟูร์ มีรายได้อยู่ที่ 27,662 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิอยูที่ 554 ล้านบาท ขาดทุน 314 ล้านบาทในปี 2552บิ๊กซีมีรายได้ในปี 2552 จำนวน 68,058 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 2,868 ล้านบาท
      
       บิ๊กซี จัดเป็นผู้นำรายใหญ่อันดับ 2 ของธุรกิจ Hypermarket (รองจาก Lotus) ด้วยจำนวน สาขารวมอยู่ที่ 69 แห่ง นอกจากนั้น ยังประกอบธุรกิจต่อเนื่องเกี่ยวกับการให้บริการพื้นที่เช่า (town center)และธุรกิจร้านสะดวกซื้อภายใต้ชื่อ MiniBigC และ Pure (เน้นขายเวชภัณฑ์) ด้วย
      
       บริษัทได้เข้าซื้อกิจการคาร์ฟูร์ ในไทยรวม 42 สาขา (แบ่งเป็น Hypermarket 34 แห่งและ Supermarket 8 แห่ง) โดยอาศัยแหล่งเงินทุน 2 ส่วนหลักจากกระแสเงินสดในบริษัทและการใช้วงเงินกู้ และคาดว่าธุรกรรมดังกล่าวจะเสร็จสิ้นในต้นปี 54
      
       ผู้ถือหุ้นบริษัทบิ๊กซีประเมินผลประโยชน์ที่จะได้รับ ได้แก่
      
       1 ) การเพิ่มศักยภาพในการเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ของไทยมากขึ้น โดยภายหลังรวมกิจการจะส่งผลบริษัทจะมีฐานสาขารวมเป็นกว่า 103 แห่ง (ในรูปแบบ Hypermarket) จากปัจจุบันที่ 69 แห่ง ซึ่งถือเป็นผู้นำอันดับ 2 ที่มีส่วนแบ่งตลาดใกล้เคียงกับผู้นำอันดับ 1 อย่าง Tesco Lotus มากขึ้น ที่มีสาขารวมราว 116 แห่งในไทย ทั้งนี้สาขาของบิ๊กซีส่วนมากอยู่ในต่างจังหวัด ขณะที่สาขาส่วนใหญ่ของคาร์ฟูร์อยู่ในกรุงเทพฯ นอกจากนั้น ยังส่งผลให้บริษัทมีพื้นที่ให้เช่าเพิ่มขึ้นเป็น 0.585 ล้านตารางเมตร จากปัจจุบันที่ 0.435 ล้านตารางเมตร
      
       2 ) หวังผลประโยชน์ส่วนเพิ่ม ( Synergies ) ในระยะยาว 1,200 ล้านบาทต่อปี ด้วยความแข็งแกร่งของเครือข่ายธุรกิจที่จะมีเพิ่มขึ้น ก็ส่งผลผู้บริหารประเมินการสร้างผลประโยชน์ส่วนเพิ่มในหลายด้านทั้งแง่อำนาจการต่อรองในการสั่งซื้อสินค้า, ประสิทธิภาพในการควบคุมต้นทุนการขนส่งที่จะเพิ่มขึ้น รวมถึง การเกิดผลประโยชน์ต่อการประหยัดต่อขนาดของการใช้ต้นทุนบางรายการร่วมกัน เป็นต้น
      
       ทำให้นักวิเคราะห์ประเมินว่า ในปี 53 บิ๊กซีจะมีรายได้ 69,935 ล้านบาท กำไร 3,217 ล้านบาท ปี 54 มีรายได้ 76,521 ล้านบาท กำไรสุทธิ 3,499 ล้านบาท และในปี 55 มีรายได้ 81,621 ล้านบาท กำไร 3,874 ล้านบาท
      
       แต่กระนั้น บิ๊กซี ก็ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากกฎหมาย คือ ร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีกฉบับใหม่ ที่กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ
      
       ที่สำคัญ แนวโน้มธุรกิจค้าปลีก เหมาะสำหรับรายใหญ่เท่านั้น
      
       สายป่านสั้น ส่วนแบ่งตลาดต่ำ เงินทุนน้อย หมดสิทธิ์แจ้งเกิด .....ยกเว้น ตลาดสดของไทย เท่านั้น!!
      
       ที่สำคัญมากกว่านั้น นักวิเคราะห์บางส่วนประเมินว่า การซื้อคาร์ฟูร์ครั้งนี้แพงเกินไป
      
       โดยมูลค่าตามบัญชี ณ สิ้นปี 2552 มีค่าเพียง 9,700 ล้านบาท ดังนั้นราคาเข้าซื้อแสดงถึงราคาต่อมูลค่าหุ้นตามบัญชี (PBV) ที่ 3.7 เท่า
      
       หากพิจารณาจากราคาเข้าซื้อต่อพื้นที่ที่ 87,250 บาทต่อตารางเมตร ก็แพงเช่นกัน เมื่อเทียบกับสัดส่วนมูลค่าตลาดต่อพื้นที่ (ตารางเมตร) ของ บิ๊กซี และ ซีพีเอ็น ที่ 59,700 บาท และ49,900 บาทต่อตารางเมตร ตามลำดับ
      
       นอกจากนั้นมูลค่าของบีกซี อาจจะลดลง เนื่องจากการด้อยค่าของความนิยม (Impairment of goodwill) สาขาของคาร์ฟูร์ 27 แห่ง อยู่ในทำเลใกล้เคียงกับบิ๊กซี และมี 5 แห่งที่ใกล้กันมาก รวมทั้ง 75% ของจำนวนสาขาของคาร์ฟูร์ เป็นที่ดินเช่า หนี้สินที่เพิ่มขึ้นจะจำกัดการขยายสาขา และการสูญเสียลูกค้าบางส่วน

5 comments:

  1. คาสิโนในประเทศไทยเป็นที่มีชื่อเสียงมากขึ้นและมีผลอย่างมากต่อจีดีพีของไทย
    ติดตามเราได้ที่นี่ ...........ทางเข้า gclub

    ReplyDelete
  2. ขอบคุณสำหรับการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์
    gclub

    ReplyDelete
  3. ทั้งหมดเกี่ยวกับการค้าปลีกในประเทศไทยเรื่องเป็นที่ดีที่สุดที่จะหารือเกี่ยวกับ

    gclub online

    ReplyDelete
  4. ขอบคุณสำหรับเรื่องที่มีประโยชน์หารือ
    gclub online

    ReplyDelete

LinkWithin

Related Posts with Thumbnails