บิ๊กซี สาขามหาชัย |
สถานการณ์น้ำท่วมที่กินพื้นที่ในหลายจังหวัดและส่งผลกระทบกับทุกธุรกิจ
โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีกที่ต้องเผชิญปัญหาด้านโลจิสติกส์และกำลังซื้อที่หายไปในบางพื้นที่
ทว่าในระยะยาว
ค้าปลีกไม่สามารถหยุดการขยายตัวซึ่งเป็นหัวใจในการดำเนินธุรกิจ
ยิ่งในภาวะการแข่งขันที่จะยิ่งรุนแรงมากขึ้นหลังจากนี้
และเทรนด์ที่เกิดขึ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมไฮเปอร์มาร์เก็ตขณะนี้ ทั้ง เทสโก้ โลตัส
และ บิ๊กซี ต่างพยายามหาแหล่งเงินทุนใหม่ในการขยายสาขา
แทนการพึ่งพาเงินจากเพียงบริษัทแม่ในต่างประเทศ
ล่าสุด บริษัท บิ๊กซี
ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งว่า
ที่ประชุมคณะกรรมการมีมติด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์
อนุมัติการเพิ่มทุนโดยการเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมเป็นมูลค่าไม่เกิน
25,000 ล้านบาท
โดยหุ้นที่เหลือจากการจองซื้อจากผู้ถือหุ้นเดิมจะถูกจัดสรรให้แก่นักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง
(Private
Placement)
ทั้งนี้
การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่
ผู้ถือหุ้นเดิมนี้จะต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่
17 พฤศจิกายน 2554 ซึ่ง รายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการเพิ่มทุน ราคาเสนอขาย
และจำนวนที่แน่นอนของหุ้นที่เสนอขายจะถูกกำหนดและแจ้งให้ทราบก่อนการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นจะเริ่มขึ้น
โดยเบื้องต้นคาดว่าจำนวนหุ้นสามัญที่จะออกและเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมจะอยู่ที่ประมาณ
220-350 ล้านหุ้น
ในส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของ
บิ๊กซี "คาสิโนกรุ๊ป" ผู้นำด้านการค้าปลีกอาหารระดับโลก
ก็ได้แสดงความประสงค์ใช้สิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนตามสิทธิเต็มจำนวน
รายงานจากบิ๊กซีระบุเหตุผลในการเพิ่มทุนครั้งนี้ว่า
เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้โครงสร้างทางการเงินของบิ๊กซี
ทั้งนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนไปชำระคืนหนี้ที่เกิดจากการเข้าซื้อกิจการคาร์ฟูร์ที่ผ่านมา
การขยายเครือข่ายสาขาในรูปแบบต่าง ๆ ทั่วประเทศ
รวมถึงรูปแบบธุรกิจที่ผสมผสานระหว่างธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจให้เช่าพื้นที่ไว้ด้วยกัน
และยังมองถึงโอกาสในการเข้าซื้อกิจการอื่นในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค
"อีฟ เบรบ็อง"
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบิ๊กซีบอกว่า
การเพิ่มทุนครั้งนี้เป็นอีกก้าวที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของบิ๊กซี
และเชื่อว่าจะทำให้บิ๊กซีมีความคล่องตัวทางการเงินสูงขึ้น
อันจะนำมาซึ่งประโยชน์ในระยะยาวของผู้ถือหุ้น
การเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในครั้งนี้คาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม
2554
"กุฎธาร นาควิโรจน์"
ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ เสริมว่า
การเพิ่มทุนครั้งนี้เป็นแผนที่วางไว้ล่วงหน้ามาระยะหนึ่งแล้ว
สอดรับกับแผนที่จะผลักดันให้บิ๊กซีก้าวสู่ความเป็นผู้นำของตลาดค้าปลีกภายในปี 2558
โดยมีแผนขยายสาขาในรูปแบบต่าง ๆ ควบคู่กับความคุ้มค่าและเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น
"เรามีแผนจะรุกเปิดสาขาในทุกรูปแบบ
โดยจะพิจารณาจากความต้อง การของคนในพื้นที่
ซึ่งขณะนี้ได้มีการแบ่งกลุ่มผู้บริโภคตามพื้นที่ไว้แล้ว" นายกุฎธารกล่าว
ตั้งแต่ต้นปีบิ๊กซีได้ขอวงเงินกู้สูงถึง
3.85 หมื่นล้านบาท ในการซื้อกิจการของคาร์ฟูร์ 3.55 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก
3,000 ล้าน เตรียมไว้เพื่อขยายสาขา
โดยมีกำหนดควบรวมสาขาคาร์ฟูร์เป็นบิ๊กซีให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้
มติเพิ่มทุนครั้งนี้ของบิ๊กซีจึงเป็นแผนที่วางไว้เพื่อไม่ให้บริษัทต้องเสียจังหวะในการขยายสาขาเพื่อแข่งขันกับคู่แข่งสำคัญอย่าง
"เทสโก้ โลตัส" หลังจากที่ปีนี้บริษัทต้องโฟกัสไปที่การควบรวมเป็นหลัก
ทำให้ตลอดครึ่งปีแรกไม่ค่อยมีการขยายสาขา เพิ่งจะขยับเปิด 6 สาขาสำหรับบิ๊กซี
มาร์เก็ต และมินิบิ๊กซีในช่วงครึ่งปีหลัง จากปัจจุบันบิ๊กซีมีทั้งสิ้น 105 สาขา
ก่อนหน้านี้ เทสโก้ โลตัส
ก็ได้ยื่นคำขอจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหน่วยลงทุนของกองทุน อสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเทสโก้
โลตัส รีเทล โกรท ซึ่งประกอบด้วยศูนย์การค้า 15 แห่ง
มีมูลค่าประเมินทรัพย์สินรวมมากกว่า 14,000 ล้านบาท
จากเดิมเทสโก้ฯใช้งบฯลงทุนปีละ
7,000 ล้านบาท จากบริษัทแม่และผลประกอบการแต่ละปี
เช่นเดียวกับบิ๊กซี
เทสโก้ฯมีแผนนำเงินที่ได้ไปใช้เพื่อขยายและปรับปรุงสาขา และมีแผนเปิดครบ 1,000
สาขา ในกุมภาพันธ์ปีหน้า จากปัจจุบันมีอยู่กว่า 800 สาขา
การระดมทุนของค้าปลีก 2 รายใหญ่
นอกจากจะสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของการบริหารงานในแต่ละประเทศ ชนิดที่ไม่ต้องง้อเงินลงทุนจากบริษัทแม่ในต่างประเทศแล้ว
ยังสะท้อนได้อีกว่าโอกาสทางการตลาดในเมืองไทยนั้นยังมีอีกมหาศาล
ที่น่าจับตาอีกรายคือศูนย์ค้าส่งอย่าง
"สยามแม็คโคร" ที่ปีนี้ควักกระเป๋าลงทุนไปแล้ว 3,000 ล้านบาท เพื่อขยาย
4 สาขา ซึ่งถือเป็นอัตราการขยายที่มาก กว่าทุกปี
ทำให้สิ้นปียักษ์ค้าส่งรายนี้มีสาขาทั้งหมด 52 แห่ง
หลังจากนี้ต้องจับตาดู
บริษัทแม่ของสยามแม็คโครว่าจะมีความเคลื่อนไหวอย่างไรท่ามกลางการขยายตัวอย่างก้าวกระโดดของทั้งเทสโก้
โลตัส และบิ๊กซี
No comments:
Post a Comment