Pages

Monday, August 31, 2009

TOPS INVEST 600 MILLION NEXT YEAR



"ท็อปส์"ย้ำกิจกรรมมัดใจลูกค้าเดิม เผยแผนปีหน้าเทงบ600ล.ปูพรมสาขามุ่งไซซ์"มินิ"


"ท็อปส์" เปิดตัวเอ็มดีใหม่ เปิดแผนลงทุนปีหน้าทุ่มอีกกว่า 600 ล้าน ปูพรมสาขาเน้นโมเดลท็อปส์ เดลี่ ชูสปอต มันนี่ แบ็ค มัดใจลูกค้า ลั่นปีนี้-ปีหน้ากำไรพุ่ง



นายเอียน ไพย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด กล่าวในโอกาสที่จะเกษียณจากตำแหน่งและมอบตำแหน่งให้ผู้บริหารคนใหม่ว่า จากนี้ไปบริษัทจะยังเดินหน้าขยายการลงทุนต่อเนื่อง โดยปีหน้าจะลงทุน 500-600 ล้านบาท ซึ่งลดจากปีนี้ทั้งปีที่ใช้งบฯลงทุนสูงถึง 1,000 ล้านบาท โดยงบฯดังกล่าวจะใช้เพื่อเปิดสาขาใหม่ 400 ล้านบาท ในการเปิดท็อปส์ มาร์เก็ต 3 สาขา ท็อปส์ ซูเปอร์ 2 สาขา และท็อปส์ เดลี่ 40 สาขา ส่วนอีก 200 ล้านบาท จะใช้เพื่อปรับปรุงสาขา 17 สาขา รวมถึงสาขาสุขุมวิท 19 และเซ็นทรัล ลาดพร้าว และจะปรับท็อปส์มาร์เก็ตที่เซ็นทรัล ภูเก็ต ให้เป็นเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์


สำหรับกิจกรรมส่งเสริมการตลาด เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วบริษัทเปิดตัวโปรแกรม สปอต มันนี่ แบ็ค ก่อนหน้าคู่แข่งรายอื่นๆ ที่มีแผนเปิดตัวลอยัลตี้โปรแกรมเหมือนกัน ด้วยการแจกคูปองเงินสดและส่วนลดมูลค่า 250 ล้านบาท เพื่อดึงลูกค้าให้กลับมาช็อปที่ท็อปส์ โดยเฉพาะลูกค้าท็อปสเปนเดอร์ที่มีอยู่มากกว่า 4 แสนคน เพื่อช่วยสร้างความจงรักภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว ซึ่งวัดได้จากยอดซื้อที่มาจากลูกค้าสมาชิกที่มีสัดส่วน 82-83% จากยอดสมาชิกทั้งหมด 4.1 ล้านคน โดยท็อปส์จะมีการ วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าทุกสัปดาห์เพื่อสร้างแผนงานรองรับ


"พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนไปตั้งแต่ปลายปี แม้ว่าปีที่แล้วบริษัทจะเติบโต 8-9% แต่เมื่อดูยอดจริงๆ จะพบว่าลูกค้าชะลอการจับจ่ายลง และนิยมซื้อสินค้าราคาถูก ทำให้ปริมาณสินค้าที่ขายออกมีเพิ่มขึ้นแต่มูลค่ากลับน้อยลง"


นายเอียน ไพย์ กล่าวถึงผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกว่า บริษัททำกำไรได้ไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ กระทั่งเดือนพฤษภาคมที่ยอดขายเริ่มฟื้นตัว ทำให้ปัจจุบันมียอดขายเติบโตขึ้น 3% เมื่อเทียบกับปีก่อน และหวังว่าไตรมาส 3-4 เป็นต้นไปผลประกอบการจะกลับมาดีขึ้น ตั้งเป้าตลอดทั้งปีจะมียอดขายเติบโต 5-6% หรือมีมาร์เก็ตแชร์ 8.6-10% ในเซ็กเมนต์ ซูเปอร์มาร์เก็ตไฮเปอร์มาร์เก็ต คิดเป็นมูลค่าราว 22,000 ล้านบาท ขณะที่ปีหน้าคาดว่าจะมียอดขาย 24,000 ล้านบาท


"ตั้งแต่ปี 2543-2546 เราขาดทุนมาตลอด เพิ่งจะมาเท่าทุนเมื่อปี 2547 และหลังจากนั้นก็เริ่มมีกำไร แต่กำไรก็เริ่มลดลงมาบ้างเมื่อปี 2549-2550 เนื่องจากมีการลงทุนมาก กระทั่งปี 2551 กำไรก็พุ่งขึ้น และคาดว่าตลอดปีนี้จนถึงปีหน้าบริษัทจะทำกำไรได้มากกว่าเดิม"



ด้านนายอลิสเตอร์ เทย์เลอร์ ว่าที่กรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทลฯ กล่าวว่า หลังเข้ารับตำแหน่งซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนเป็นต้นไป จะสานต่อวิสัยทัศน์เดิมของ นายเอียน ไพย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสินค้าเฮาส์แบรนด์ หรือการจัดซื้อ แต่อาจมีการปรับกลยุทธ์บางส่วน โดยเฉพาะการเพิ่มระบบไอทีในแผนกจัดซื้อซึ่งจะช่วยให้ลูกค้า ได้รับสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น และย่นระยะเวลาการทำงานระหว่างฝ่ายจัดซื้อกับซัพพลายเออร์



"เนื่องจากธุรกิจฟู้ดรีเทลมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าหรือคู่แข่ง แนวทางการทำงานของตนหลักๆ จะสปีดให้เร็วกว่าคู่แข่งและเป็นผู้นำอยู่ตลอดเวลา" นายอลิสเตอร์กล่าว




Monday, August 24, 2009

CENTRAL เปิดแผนบุกศูนย์การค้าทั่วปท.เน้นกลยุทธ์ใหญ่-ครบเครื่อง

Trip Pattaya- Central Festival PattayaImage by newdavich via Flickr


เซ็นทรัลเปิดแผนบุกศูนย์การค้าทั่วปท.ลั่นงัดกลยุทธ์ใหญ่-ครบเครื่องบี้คู่แข่ง!



เซ็นทรัลรุกตลาดอีสาน เทงบฯหมื่นล้านปั้นขอนแก่นเป็นเทรนด์เซ็ตเตอร์ของภาคอีสาน พร้อมดันอุดรฯเป็นไลฟ์สไตล์ฮับเกตเวย์เจาะอินโดจีน บอสใหญ่กอบชัย จิราธิวัฒน์ลั่นใช้กลยุทธ์Dominate Strategyปักธงศูนย์การค้าแห่งใหม่ต้องใหญ่กว่า-ครบเครื่องกว่าคู่แข่งทุกด้าน เตรียมเปิดตัวพื้นที่ค้าปลีกโมเดลใหม่อีก



นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวภายหลังการนำนักลงทุนและคู่ค้าทางธุรกิจกว่า 70 รายเยี่ยมชมโครงการศูนย์การค้าของเซ็นทรัลในภาคอีสานทั้งจังหวัดขอนแก่นและอุดรธานี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและโอกาสสำหรับการลงทุนในภาคอีสาน โดยศูนย์การค้าทั้ง 2 แห่งนี้จะเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของเซ็นทรัลพัฒนาสำหรับการขยายตัวออกสู่ภูธร





โดยคอนเซ็ปต์ของเซ็นทรัลพลาซา ขอนแก่น นายกอบชัยกล่าวว่า จะเป็นศูนย์การค้าที่เป็นเทรนด์เซตเตอร์ของอีสานที่มีขนาดใหญ่ที่สุด บนพื้นที่ 250,000 ตารางเมตร ด้วยงบฯลงทุน 4000 ล้านบาท เนื่องด้วยขอนแก่นเป็นศูนย์กลางทุกๆ ด้านของภาคอีสาน ทั้งเศรษฐกิจ คมนาคม การเป็นศูนย์ราชการและสถานศึกษา ภายในศูนย์จะมีร้านค้ามากกว่า 300 ร้าน และโรงภาพยนตร์ขนาด 1,800 ที่นั่ง เป็นการขยายธุรกิจสู่ภาคอีสานเป็นครั้งแรกของกลุ่มเอสเอฟ




เซ็นทรัลพลาซา ขอนแก่น จะใช้โมเดลของเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าวเป็นต้นแบบ แต่มีขนาดใหญ่มากกว่า เนื่องจากกลุ่มลูกค้ามีไลฟ์สไตล์ใกล้เคียงกัน เป็นวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ ซึ่งแม่เหล็กของศูนย์นี้จะมีห้างสรรพสินค้าโรบินสันเป็นจุดขายหลัก และร้านค้าในกลุ่มเซ็นทรัลรีเทลที่จะเปิดสาขาควบคู่กัน สามารถขายพื้นที่ในโครงการแล้ว 90% โดยจะเปิดบริการในวันที่ 3 ธันวาคมนี้




สำหรับเซ็นทรัลพลาซา อุดรธานี นายกอบชัยระบุว่า บริษัทใช้งบฯลงทุนรวม 5,300 ล้านบาท ในการซื้อกิจการศูนย์การค้า โรงแรม และคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์จากกลุ่มอุดรเจริญศรี ซึ่งบริษัทตั้งใจจะใช้งบฯก้อนดังกล่าวขยายพื้นที่เพิ่มเป็น 2 เท่า ภายใน 2 ปีนี้ เพิ่มพื้นที่เป็น 200,000 ตารางเมตร เพื่อให้เป็นศูนย์การค้าแบบครบวงจร รองรับกลุ่มลูกค้าในอุดรธานี จังหวัดใกล้เคียง และประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้สาขาอุดรธานีมีบทบาทเป็นไลฟ์สไตล์ฮับ-เกตเวย์เจาะอินโดจีน




การกำหนดคอนเซ็ปต์ดังกล่าว เนื่องจากอุดรฯเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูง เป็นศูนย์กลางธุรกิจที่เชื่อมโยงสู่ประเทศลาว มีประชากรกว่า 7 แสนคน ในแง่รายได้คนอุดรฯมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงติดอันดับต้นๆ ในภาคอีสาน โดยการรีโนเวตเฟสแรกจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ และจะขยายพื้นที่โครงการข้ามไปบริเวณฝั่งตรงข้ามกับตัวศูนย์ในขณะนี้ เพื่อรองรับกับการเติบโตของตลาดในอนาคต




ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากการลงทุนในภาคอีสาน เมื่อเร็วๆ นี้เซ็นทรัลพัฒนาได้ประกาศสานต่อโครงการศูนย์การค้าแห่งที่ 2 ในจังหวัดเชียงใหม่ ส่วนการลงทุนในจังหวัดเชียงรายกับพระราม 9 นายกอบชัยยืนยันว่ายังเดินหน้าต่อเนื่อง ไม่ได้มีการชะลอโครงการแต่อย่างใด




นายกอบชัยกล่าวอีกว่า กลยุทธ์การลงทุนของเซ็นทรัลพัฒนาต่อไปนี้จะใช้กลยุทธ์คลุมตลาด หรือ dominate strategy ยกตัวอย่างการลงทุนในขอนแก่นและอุดรธานี วางหมากเพื่อตีสาขาของคู่แข่งที่อยู่โคราชโดยเฉพาะ (หมายถึงเดอะมอลล์) เป็นกลยุทธ์กินรวบยอดขายในพื้นที่ละแวกนี้ โดยเฉพาะจังหวัดขอนแก่นได้ซื้อที่ดินไว้อีก 35 ไร่ บริเวณถนนมิตรภาพ เพื่อรองรับการลงทุนในอนาคตในอีกคอนเซ็ปต์หนึ่ง ใช้ความต่างของราคาเป็นตัวกำหนด โดยค้าปลีกรูปแบบใหม่นี้จะอยู่ระหว่างไฮเปอร์มาร์เก็ตและศูนย์การค้าเซ็นทรัล




นายกอบชัยกล่าวอีกว่า เซ็นทรัลพัฒนาจะไม่ลงทุนเล็กๆ แต่จะต้องใหญ่กว่าครบเครื่องกว่า ซึ่งมีกรณีศึกษาจากสาขาปิ่นเกล้าและบางนา ถึงแม้จะมีคู่แข่งรายใหม่ที่ใหญ่กว่าเข้ามาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเซ็นทรัลจะมีครบเครื่องที่เหนือกว่า




"ตอนนี้มองไว้ทุกที่ ที่ไหนพร้อมจะไป แต่ถ้าไปที่ไหนจะต้องไปแบบเต็มรูปแบบ ต้องไปแบบผู้นำ แต่ถ้าเป็นรองจะไม่ไป

ปัจจุบันเซ็นทรัลพัฒนามีศูนย์การค้าเปิดบริการแล้ว 10 แห่ง ประกอบด้วยเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว, รามอินทรา, ปิ่นเกล้า, บางนา, พระราม 2, พระราม 3, รัตนาธิเบศร์, เซ็นทรัลเวิลด์, แจ้งวัฒนะ, ชลบุรี และพัทยา เฟสติวัล มีพื้นที่รวมถึงสิ้นมากกว่า 6 แสนตารางเมตร




Reblog this post [with Zemanta]

Thursday, August 20, 2009

Tesco Lotus hastens expansion in Thailand

A Tesco Clubcard and a Clubcard keyfob.Image via Wikipedia

Tesco Lotus, the UK hypermarket chain, will pour slightly more money into its expansion in the Thai market next year beyond the normal average investment of approximately 7 billion baht per year.

Hammett: Loyalty card ‘the best’

Steve Hammett, CEO of the local Tesco Lotus operator Ek-Chai Distribution System Co, said the company had had robust investment in Thailand for several years. At least six hypermarket outlets, more than 10 Talad Lotus stores and some Lotus Express outlets will be opened this year, bringing its total to about 600 outlets in all formats.

It is expected that the number of new outlets to be added next year will be a bit more than in 2009.



Tesco is present in 13 countries and the United States, India and China are the next big targets for the company's business expansion.

Ek-Chai Distribution System has tried to persuade Tesco to increase its investment in Thailand every year since inception.

"I don't see an economic recovery yet but it can't get any worse," said Mr Hammett.

The company will launch its Clubcard reward programme tomorrow. It tested the market with pilot programmes in Hat Yai and Ko Samui stores over the past few years and received good customer response.

Thailand is the seventh country in the world and the second in Southeast Asia where the Clubcard will be available. The company anticipates 4 million members in the first year. Shoppers earn Clubcard points that are converted into cash coupons four times a year.

Several retail operators such as Central Department Store, Tops Supermarket, Carrefour, Future Park Rangsit, M Card and recently The Mall Group also offer loyalty cards.

"It is more important to be the best, not the first," said Mr Hammett. "Compared to other competitors, nobody has a scheme like us: it is free to join, we offer cash coupons, there is no minimum requirement and you can redeem at all 62 stores nationwide."

Reblog this post [with Zemanta]

Tuesday, August 18, 2009

BOOTS LAUNCHES PRIVATE LABEL



"บู๊ทส์" ปิ๊งไอเดียเพิ่มช่องทางใหม่-เพิ่มรายได้ ขนทัพสินค้า "เฮลท์แคร์-ไพรเวท แบรนด์" ขึ้นเชลฟ์คาร์ฟูร์ แก้ปมพื้นที่ เปิดร้านหายาก หลังซุ่มเงียบมาพักใหญ่พบเวิร์ก เพราะต้นทุนน้อย-ดำเนินการได้เร็ว-ทราฟฟิกมาก คุ้มแสนคุ้ม



ความเคลื่อนไหวของร้านสเปเชียลตี้สโตร์ ประเภทร้านเพื่อสุขภาพและความงามที่น่าจับตาในขณะนี้ นอกจากการจัดแคมเปญ หรือการมอบสิทธิพิเศษให้สมาชิกบัตร ยังมีกลยุทธ์การเพิ่มช่องทางจำหน่ายบนเชลฟ์ตามห้างในลักษณะช็อปอินช็อป เพื่อเพิ่มโอกาสขายมากขึ้น จากเดิมที่จะ เน้นเฉพาะการเปิดสาขาสแตนด์อะโลน ส่วนหนึ่งอาจมาจากการเปิดสาขาใหม่ๆ ของดิสเคานต์สโตร์ที่ชะลอตัวลง โดยร้านสเปเชียลตี้สโตร์ที่รุกคืบไปบนเชลฟ์ห้างอย่างชัดเจน ได้แก่ร้านบู๊ทส์






"บู๊ทส์" ยกสินค้าขึ้นเชลฟ์ดิสเคานต์สโตร์



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุด บู๊ทส์ได้เตรียมนำสินค้าไปวางจำหน่ายบนเชลฟ์ที่ห้างคาร์ฟูร์ สาขาพระราม 2 ขณะนี้ได‰ปิดประกาศแจ้งลูกค้าที่เดินผ่านเชลฟ์ว่าจะมีสินค้าของบู๊ทส์มาวางจำหน่ายในเร็วๆ นี้




แหล่งข่าวจากบริษัท บู๊ทส์ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารร้านบู๊ทส์ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า บู๊ทส์ได้เริ่มทดลองเพิ่มช่องทางจำหน่ายในลักษณะดังกล่าวตามห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ซึ่งเรียกว่าช็อปอินช็อปมาตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2550 ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เพื่อเพิ่มช่องทางจำหน่ายและการให้บริการแก่ลูกค้าให้สามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างครอบคลุม ขณะเดียวกันก็จะช่วย ให้สามารถขยายกลุ่มลูกค้าออกไปยังกลุ่มใหม่ๆ รวมทั้งการเพิ่มการเติบโตให้บริษัทด้วย



"การคัดเลือกสินค้าที่นำไปวางจำหน่ายในห้างบู๊ทส์ ได้นำสินค้าทั้งผลิตภัณฑ์เฮลท์แคร์และสินค้าภายใต้แบรนด์บู๊ทส์เพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในพื้นที่นั้นๆ"



นอกจากการนำสินค้าเข้าไปวางจำหน่ายในดิสเคานต์สโตร์ในลักษณะดังกล่าวแล้ว ที่ผ่านมา บู๊ทส์ยังเคยทดลองเปิดสาขา ขนาดเล็กที่มีพื้นที่ประมาณ 30 ตร.ม. จำนวน 15 สาขา เน้นลูกค้ากลุ่มคนเมือง ออฟฟิศ จำหน่ายสินค้ากลุ่มเฮลท์แคร์เป็นหลัก และวางขายสินค้าตามความต้องการของแต่ละพื้นที่ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคให้ง่ายขึ้น



ห้างใหม่เปิดน้อย-พื้นที่หายาก



ผู้บริหารดิสเคานต์สโตร์รายใหญ่ รายหนึ่งกล่าวในเรื่องนี้ว่า ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ร้านสเปเชียลตี้สโตร์หันมาเช่าพื้นที่บนเชลฟ์ของดิสเคานต์สโตร์ สาเหตุหลักมาจากการที่ค้าปลีกรายใหญ่เปิดสาขาใหม่น้อยลง การแย่งชิงพื้นที่เช่าสำหรับสแตนด์อะโลนช็อปจึงมีสูง ประกอบกับการรุกเพิ่มสาขาของวัตสัน คู่แข่งสำคัญของบู๊ทส์ ยิ่งเป็นตัวเร่งให้บู๊ทส์ต้องเพิ่มช่องทางจำหน่ายใหม่ๆ ดังกล่าว



"การเช่าพื้นที่เชลฟ์เพื่อวางสินค้ามีต้นทุนน้อยกว่าสแตนด์อะโลน และใช้เวลาการดำเนินงานสั้นกว่า ที่สำคัญคือทราฟฟิกลูกค้ามีมาก และโอกาสที่ร้านสเปเชียลตี้สโตร์จะขยายสาขาให้ครอบคลุมเป็นเรื่องยาก สู้เอาสินค้าไปวางขายตามห้างที่เปิดอยู่แล้วน่าจะง่ายกว่า กลยุทธ์นี้ถือ เป็นหลักการเดียวกับการทำตลาดสินค้า คอนซูเมอร์ เป็น Survival Strategy ที่บู๊ทส์นำมาใช้"



จากการตรวจสอบพบว่า ปัจจุบัน บู๊ทส์มีช่องทางจำหน่ายที่เป็นในลักษณะช็อป อินช็อป ซึ่งมีเฉพาะในคาร์ฟูร์ มีรวมประมาณ 21 สาขา ขณะที่ร้านที่เป็นสแตนด์อะโลนมีประมาณ 150 สาขา ส่วนวัตสันมีจำนวนสาขาทั้งหมดประมาณ 150 สาขา และกำลังจะเปิดเพิ่มอีก 1 สาขา ที่ขอนแก่น และอยู่ระหว่างการพิจารณาเลือกทำเลอีก 1-2 แห่ง จากปีที่แล้วเปิดสาขาไป 8 แห่ง เน้นตามห้างและไฮเปอร์มาร์เก็ตที่เปิดใหม่



อัดโปรโมชั่นในร้านดุเดือด



นอกจากการเพิ่มช่องทางจำหน่ายใหม่ดังกล่าวแล้ว กลยุทธ์ทางการตลาดที่บู๊ทส์ให้ความสำคัญมากขึ้น คือการให้น้ำหนักกับบัตรสมาชิกบู๊ทส์ เฮลท์ คลับ โดยจับมือกับพันธมิตรด้านสุขภาพ เช่น ร.พ.กรุงเทพ ร.พ.บีเอ็นเอช ร.พ.สมิติเวช ฟิตเนสเฟิร์ส และอยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี. มอบสิทธิพิเศษแก่สมาชิกบัตร รวมทั้งการเพิ่มโปรแกรมซีอาร์เอ็ม ผ่านการทำโปรโมชั่นพิเศษ เช่น การจับมือกับลอรีอัลจัดรายการลดราคาสินค้าลอรีอัลสูงสุดถึง 300 บาท เฉพาะที่ร้านบู๊ทส์ และลดเพิ่มอีก 5% สำหรับสมาชิกบู๊ทส์ เฮลท์ คลับ



รวมถึงโปรโมชั่นที่บู๊ทส์ใช้เรียกลูกค้าในปัจจุบัน คือโปรโมชั่นเบสต์ แวลู ราคาสุดคุ้ม แลกซื้อสินค้า ในราคา 69 บาท หรือซื้อสินค้า 2 ชิ้น ในราคา 96 บาท เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงปลายเดือนสิงหาคม



ด้านวัตสันก็เน้นกลยุทธ์ซีอาร์เอ็ม ด้วยการใช้บัตรสมาชิกวัตสัน เมมเบอร์ชิพ การ์ด เป็นตัวกระตุ้น ด้วยการมอบส่วนลดโปรแกรมสะสมแต้ม และส่วนลดค่าตรวจรักษาโรงพยาบาลพญาไท



BIG C-เซเว่นฯ ซุ่มเปิดสเปเชียลตี้สโตร์



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ร้านสเปเชียลตี้สโตร์กำลังปรับตัวด้วยการพยายามหาช่องทางจำหน่ายใหม่ๆ เข้ามาเสริมเพื่อเป็นการเติบโตอีกทางหนึ่ง ทางฟากฝั่งผู้ประกอบการค้าปลีกก็อยู่ระหว่างการทดลองโมเดลร้านสเปเชียลตี้สโตร์ โดยเซเว่นอีเลฟเว่นที่ซุ่มทดลองโมเดลร้านขายยาและสินค้าเพื่อสุขภาพ ภายใต้ชื่อ "เอ็กซ์ตร้า" ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี 2550 ถึงปัจจุบันมี 4-6 สาขา ขณะที่บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ก็เปิดร้านสินค้าเพื่อสุขภาพและความงามในชื่อของ "เพรียว" ตอนนี้มี 7 สาขา โดยเปิดอยู่ในบิ๊กซี 6 สาขา และ เอสพละนาด 1 สาขา และขณะนี้อยู่ระหว่างการเปิดให้สมัครสมาชิกพนักงานเพื่อเตรียมขยายสาขา และมีการเปิดรับสมาชิกบัตรเพรียว แวลู การ์ด ผ่านทางเว็บไซต์




MAX VALU Plan to Launch Small Format


ซูเปอร์มาร์เก็ตแบรนด์ญี่ปุ่น "แม็กซ์แวลู" เดินหน้ารีโนเวตสาขาหลักสี่เน้น ครบเครื่อง เผยพื้นที่ขนาดใหญ่หายากเล็งย่อส่วน เตรียมผุดไซซ์ 300 ตร.ม.สู้ศึกค้าปลีก พร้อมสู้ค่ายใหญ่ด้วยกลยุทธ์ราคาชนคู่แข่งเป็นรายสาขา



นายเออิจิ ชิบาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิออน (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้บริหารซูเปอร์มาร์เก็ตแม็กซ์แวลูหรือจัสโก้เดิม เปิดเผยว่า หลังกฎหมายผังเมืองเริ่มบังคับใช้ ตั้งแต่ปี 2549 ประกอบกับพื้นที่ใหญ่ๆ ขนาด 4,000 ตร.ม.ในกรุงเทพฯและปริมณฑลหายากขึ้น ทำให้ทุกห้างต่างหันมาให้ความสำคัญกับการขยายสาขาในขนาดเล็กลง ส่วนมากเป็นขนาด 300-1,000 ตร.ม. และพยายามนำสินค้ามาจำหน่ายให้ครบไลน์มากที่สุด



สำหรับแนวทางการขยายสาขาของแม็กซ์แวลูหลักๆ เน้น 2 ฟอร์แมตคือ ขนาด 1,000 ตร.ม. และ 2,000 ตร.ม. และเนื่องจากปัจจุบันพื้นที่ขนาดดังกล่าวเริ่มหายากขึ้นเรื่อยๆ บริษัทจึงมีแนวคิดจะ ขยายสาขาขนาดเล็กที่มีพื้นที่ประมาณ 300 ตร.ม.ด้วย แต่ขณะนี้ยังไม่มีแผนเป็นรูปธรรม






"เดิมบริษัทตั้งเป้าจะขยายให้ครบ 26 สาขาภายในปี 2553 แต่จากปัจจัยและสถานการณ์หลายๆ อย่างที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะจากปัจจัยทางเศรษฐกิจทำให้ไซต์งานที่ดีลงานอยู่บางส่วนเกิดปัญหาติดขัด ตอนนี้ได้มีการปรับแผนใหม่ โดยปีนี้เปิดสาขาใหม่เพียง 2 สาขา จากที่วางแผนจะเปิด 8 สาขา ส่วนปีหน้าตั้งเป้าเปิดให้ได้ 10 สาขา ดังนั้นกว่าที่จะมีสาขาครบ 26 แห่งอาจจะต้องล่าช้าออกไปอีก 1-1 ปีครึ่ง"



นายชิบาตะให้ข้อมูลต่อไปว่า สาขาล่าสุดที่เพิ่งเปิดคือ หลักสี่ มีพื้นที่ขนาด 9,000 ตร.ม. ซึ่งเป็นสาขาเดิมที่มีใบอนุญาตอยู่แล้วเพียงแต่ได้ปิดเพื่อปรับปรุงไประยะหนึ่ง และบริษัทคาดหวังว่าสาขานี้จะเป็นสาขาที่ช่วยสร้างรายได้หลักให้กับบริษัท เพราะนอกจากจะมีพื้นที่ค่อนข้างใหญ่แล้วยังเป็นสาขาที่มีความสมบูรณ์แบบที่สุด และมีจุดเด่นในเรื่องของอาหารสดและอาหารพร้อมรับประทานที่มีคุณภาพและราคาที่สามารถแข่งกับคู่แข่งได้



พร้อมกันนี้นายชิบาตะยังกล่าวถึงผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาว่า โดยรวมมีอัตราการเติบโตที่น่าพอใจและยอดขายมีการเติบโตขึ้นมากกว่า 1 เท่าตัว และเพื่อปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์และกำลังซื้อที่คาดว่าจะลดลงในครึ่งปีหลัง บริษัทจะเน้นการบริหารงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งการจะให้น้ำหนักกับสินค้าราคาถูกควบคู่ความสะดวกสบาย และจะเน้นการลดราคาเพื่อสู้กับคู่แข่งเป็นรายสาขา ซึ่งคู่แข่งที่อยู่ในละแวกเดียวกันกับสาขาของแม็กซ์แวลู ได้แก่ คาร์ฟูร์ ท็อปส์ และเทสโก้ โลตัส ซึ่งที่ ผ่านมาบริษัทก็เริ่มใช้กลยุทธ์ดังกล่าวมาบ้างแล้วและก็ได้ผลการตอบดีโดยวัดจากผลประกอบการรายสาขาที่ดีขึ้น



"เป้าหมายในปีนี้เราวางแผนในแง่ของการเติบโตไว้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เพราะมองว่าการแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกครึ่งปีหลังค่อนข้างรุนแรง แต่หากรวมการเติบโตของสาขาใหม่เข้าไปด้วยตัวเลขการเติบโตก็จะมากกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะสาขาหลักสี่ที่บริษัทคาดหวังค่อนข้างมาก" นายชิบาตะกล่าว


K Village Focus Hi End Customers


คอมมิวนิตี้มอลล์ยังคงหอมหวน กลุ่ม ทุนอสังหาริมทรัพย์ยึดทำเลทองกลางสุขุมวิท 26 ทุ่ม 500 ล้านเปิดเค-วิลเลจ ชูบรรยากาศสีเขียว-โปร่งสบาย จับลูกค้ากลุ่มเอ-เอบวก ตั้งราคาขาย 2-3 พันบาท/ตร.ม. เฟ้นร้านค้าเฉพาะเจาะกลุ่มลูกค้าเอ-เอบวก เล็งผุดเฟส 2 ดึงโรงหนังเติมเต็มไลฟ์สไตล์ เปิดตัวปลายปี


นางนิลุบล นันทาภิวัฒน์ กรรมการบริหาร บริษัท คณานันต์ จำกัด ผู้บริหารโครงการ K-Village กล่าวว่า ถือเป็นการก้าวเข้ามาทำธุรกิจรีเทลครั้งแรกของบริษัท เนื่องจากเล็งเห็นการเติบโตของตลาดโดยเฉพาะคอมมิวนิตี้มอลล์ โดยวางคอนเซ็ปต์เค-วิลเลจ (K-Village) เนเบอร์ฮู้ด ไลฟ์สไตล์ (Neighbourhood Lifestyle) เพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้า ในย่านสุขุมวิท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม ระดับพรีเมี่ยมที่มีบ้านพักอาศัยและคอนโดมิเนียมในย่านนี้





นางนิลุบลกล่าวว่า โครงการเค-วิลเลจมีพื้นที่ทั้งหมด 15 ไร่ บนถนนสุขุมวิท 26 ด้วยงบฯลงทุน 500 ล้านบาท แบ่งเป็นพื้นที่ร้านค้า 1 หมื่น ตร.ม. ในรูปแบบอาคาร 2 ชั้น 3 ชั้นเชื่อมกันและแยกเป็นโซนร้านค้าประมาณ 100 ร้านค้า จัดเป็นโซนแฟชั่น ร้านอาหาร ร้านเบเกอรี่ สปาแอนด์บิวตี้ มาเทอร์แอนด์คิดส์ ไลฟ์สไตล์ เทคโนโลยี ฯลฯ ทั้งนี้จะให้น้ำหนักกับโซนอาหารมากที่สุด 40%



ร้านค้าที่เข้ามาเปิดส่วนใหญ่จะมี เอกลักษณ์เฉพาะและเป็นเอ็กซ์คลูซีฟ และออกแบบให้มีความเป็นธรรมชาติ ร่มรื่น มีความทันสมัยและมีความเป็นกันเองเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในย่านนี้เป็นหลัก ปัจจุบันขายพื้นที่ไปกว่า 70% คาดว่าก่อนเปิดตัวโครงการในช่วงปลายปีจะขายพื้นที่ได้ทั้งหมด



ทั้งนี้ ผู้บริหารโครงการเค-วิลเลจยอมรับว่า ราคาขายต่อพื้นที่ค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับโครงการอื่นที่อยู่ในตลาด คือ 2,000-3,000 บาทต่อ ตร.ม. จึงต้องคัดเลือกร้านค้าที่สะท้อนตัวตนของโครงการ



"เราทำโครงการนี้ขึ้นมาเพื่อให้เป็นแหล่งช็อปปิ้งที่เป็นไลฟ์สไตล์ที่ทุกคนสามารถพาครอบครัวมาเที่ยวหรือนัดเพื่อนๆ มาเจอกันได้ เราพยายามสร้างบรรยากาศต่างๆ ให้เหมือนเป็นบ้าน ส่วนใหญ่คนย่านนี้เป็นกลุ่มเอ-เอบวก เราก็อยากเป็นที่เพื่อนบ้านมาเจอกัน คุยกัน"



นอกจากนี้ บริษัทเตรียมจะนำโรงหนังเข้ามาเสริมในโครงการเค-วิลเลจเพื่อให้ครบถ้วน โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาเนื่องจากยังมีพื้นที่ว่างอยู่บางส่วน



ส่วนโปรเจ็กต์ถัดไปหลังจากเปิดโครงการนี้แล้วนั้น นางนิลุบลกล่าวว่า อาจมีการขยายคอมมิวนิตี้มอลล์ โครงการต่อไปอีก 2-3 แห่งในพื้นที่อื่นๆ ของกรุงเทพฯ เนื่องจากครอบครัว ทำธุรกิจอยู่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ และแลนด์แบงก์หลายแห่ง



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทคณานันต์ จดทะเบียนตั้งบริษัทเมื่อปี 2538 ดำเนินธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ (คอนโดฯ) และบริการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ มีกรรมการบริษัทประกอบด้วย นายอาจ อรรถกระวีสุนทร, นางนิลุบล นันทาภิวัฒน์, นางสาวนิลรัตน์ นันทาภิวัฒน์, นางนลินี จิราธิวัฒน์, เรืออากาศโทสุรสีท์ อรรถกระวีสุนทร, นางรุจวรรณ สุจริตกุล และร้อยเอกอติชาติ อรรถกระวีสุนทร



Sunday, August 16, 2009

Future Park Rangsit plans to expand into community mall



Rangsit Plaza Co, the operator of Future Park Rangsit, plans to expand into mall management this year as smaller operators struggle to cope with the recession.



Ratana Anuntanupong, the company's vice-president for marketing, said the firm is negotiating with two or three struggling retailers in Bangkok on managing their operations.



Starting from this year, the company aims to add at least one retail project to its management portfolio each year, targeting smaller community malls.




The move into retail management is the company's first major strategic shift in more than 12 years of operations.



"We will delay our investment at 'Future City' temporarily because of the economic downturn and shift our focus to manage retail outlets instead to lower risks," said Ms Ratana.



Sales of Rangsit Plaza in the first half of the year were 750 million baht, up 5% from the same period last year.



The company took a modest hit from the spread of H1N1 flu because it has focused on new customer groups, specifically teenagers, who are less panicked by the flu outbreak than other groups.



About 150,000 customers visit Future Park Rangsit on weekend days and 130,000 each weekday. But the frequency of visits is down to four times per month, from 4.5 times last year. Spending per bill has fallen from 1,600 to 1,500 baht.



Ms Ratana said the company plans to spend another 100 million baht on marketing campaigns in the second half. They include the "Future Park Digital Expo 2009" which ends today.



Future Park will collaborate with 11 digital and mobile-phone firms to provide new technology products. It expects to earn 20 million baht from the event. IT and digital items are less effected by the downturn than other product categories.



Ms Ratana said that at least six big events will be arranged in the remaining five months of the year to draw customers to Future Park.



The company expects its 2009 sales to reach 1.5 billion baht, up 7% from last year.




Reblog this post [with Zemanta]

Tesco steps up low-price promotions

TescoImage via Wikipedia



Tesco Lotus will spend heavily on a low-price campaign in the second half of this year to stimulate consumer demand.



Gwyn Sundhagul, chief marketing officer of Ex-Chai Distribution Systems, the operator of Tesco Lotus discount stores, said the budget would be used on its two campaigns - Roll Back, a low-price campaign, and Super Save, a deeper price-cutting promotion.




In the first half, the company devoted a big budget to the Roll Back campaign and received a better response than it had expected during the downturn.



Under the new Roll Back campaign, Tesco Lotus will provide discounts averaging 7.6% on more than 800 essential products. At the same time, it will offer Super Save promotions on more than 1,000 product items with price discounts above those in the Roll Back campaign.



Mr Gwyn said some of the funds invested in the price strategy campaign came from the company's programme to reduce waste and increase management efficiency to reduce operational costs and expenditures.



"All the money gained from the cost-saving schemes has been reinvested in the low-price and discount promotions. Some costs will be absorbed by our product vendors who participate in the campaigns," he said.



The best way for Tesco Lotus to help stimulate the country's economy during tough times is to reduce prices for the one million customers who shop at its stores every day, he said.



The retailer has made the "Tesco Lotus Raises the Flag: Fighting the Economy for Customer Savings" TV commercial, in an attempt to show how the company's executives and employees are fighting the price battle for consumers.



In the commercial, Mr Gwyn leads a group of Tesco Lotus employees who say the company's prices and promotions will help customers during tough economic times.



Mr Gwyn said that customers were spending less time shopping as a result of the H1N1 outbreak.




Reblog this post [with Zemanta]

Carrefour เจอค้านเปิดสาขาที่นครสวรรค์

Giant RetailerImage by Ikhlasul Amal via Flickr


พิษณุโลก - “นครสวรรค์ฟอรัม” รวมพลังต้าน “คาร์ฟูร์” เปิดสาขาที่ปากน้ำโพ ทำหนังสือท้วงถึงผู้ว่าฯนครสวรรค์ แฉ มูลนิธิปากน้ำโพประชานุเคราะห์ มีเงื่อนงำ อนุมัติให้เช่าพื้นที่ 16 ไร่ ทั้งที่เจตนามูลนิธิมีไว้ให้ลูก-หลานเรียนหนังสือ กลับนำที่ดินเซ็งลี้ห้างค้าปลีกข้ามชาติ



วันนี้ (4 ส.ค.) แกนนำกลุ่มนครสวรรค์ฟอรัม จำนวน 3 คน ได้เดินทางไปที่ศาลากลางจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อยื่นหนังสื่อกับผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ และนายกเทศมนตรี-สมาชิกสภาเทศบาล และมูลนิธิปากน้ำโพประชานุเคราะห์ ในฐานะเจ้าของพื้นที่ ที่อนุมัติให้ “ห้างสรรพสินค้าคาร์ฟูร์” ก่อสร้างในพื้นที่มูลนิธิจำนวน 16 ไร่




โดยกลุ่มนครสวรรค์ฟอรัม ยืนยันคัดค้านต่อต้านการสร้างห้างสรรพสินค้าคาร์ฟูร์ ทางกลุ่มได้สอบถามผู้เกี่ยวข้องและศึกษาอย่างละเอียดแล้ว เห็นว่า ต้องคัดค้านการออกข้อบัญญัติเปิดทางให้ก่อสร้างห้างคาร์ฟูร์ และไม่เห็นด้วย ที่มูลนิธิปากน้ำโพประชานุเคราะห์ ที่มีมติ (6 ม.ค.52) ให้สิทธิในการเช่าที่ดินของมูลนิธิ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของของโรงเรียนพาณิชย์การวิริยาลัย ทั้ง 14 อาคาร เนื้อที่ 16 ไร่ ระยะเวลา 30 ปี ให้แก่บริษัท เรียล ทูเก็ตเธอร์ ตัวแทนห้างสรรพสินค้าคาร์ฟูร์ โดยมีหลักฐานการลงนามใน MOU (13 ก.พ.52) ทั้งนี้ โรงเรียนพาณิชย์วิริยาลัย ได้เช่าพื้นที่และอาคารของมูลนิธิมาหลายสิบปี สร้างประโยชน์แก่เมืองนครสวรรค์มานาน จะหมดสัญญาเช่าวันที่ 25 เดือนธันวาคม 52 นี้และได้ยื่นความประสงค์ขอเช่าต่อไปอีก 10 ปี ด้วยค่าเช่า 5 ล้านบาท และยังมี บริษัท เค วี พี ซี จำกัด ยื่นขอเช่าอาคารและที่ดินเดิมที่พาณิชย์วิริยาลัย เช่าอยู่เป็นเวลา 10 ปี เสนอค่าเช่า 10 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นสถานศึกษา (โรงเรียนนานาชาติ) เช่นกัน



แต่มูลนิธิกลับไม่เอา อ้างว่า เงินน้อยกว่าห้างสรรพสินค้าเสนอมา ซึ่งมีกระแสข่าวแพร่สะพัดว่า คนในมูลนิธิต้องการค่านายหน้า 50 ล้านบาท และค่าเช่าไม่ต่ำกว่าปีละ 1 ล้านบาท ในระยะเวลา 30 ปี



ทั้งที่ข้อบังคับหมวดที่ 2 ของมูลนิธิปากน้ำโพประชานุเคราะห์ ว่าด้วยวัตถุประสงค์ คือ ให้การศึกษาแก่เยาวชน ให้การทำนุบำรุงกิจการพุทธศาสนา จัดการฌาปนสถานและสุสานสาธารณะ เพื่ออุปการะผู้ยากจนและบรรเทาความทุกข์ผู้ประสบภัย ให้ร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่นๆ เพื่อสาธารณประโยชน์ แต่ไม่ดำเนินการการเมือ



แกนนำกลุ่มนครสวรรค์ฟอรัม ระบุว่า สาเหตุที่กลุ่มออกมาต่อต้านอีกประเด็น ก็คือ การก่อสร้างห้างคาร์ฟูร์ ขัดกฎกระทรวงกระทรวงมหาดไทย ที่ระบุว่า ภายในบริเวณที่ 2 ของเขตอำเภอเมืองนครสวรรค์ ห้ามบุคคลใดก่อสร้าง หรือดัดแปลงอาคารพาณิชยกรรมประเภทค้าปลีกค้าส่งที่มีพื้นที่ใช้สอยอาคารรวมกัน เพื่อประกอบกิจการในอาคารหลังเดียวหรือหลายหลังเกิน 1,000 ตารางเมตร การก่อสร้างห้างสรรพสินค้าคาร์ฟูร์ เนื้อที่ 16 ไร่ ย่อมมีพื้นที่ 8,000-10,000 ตารางเมตร และอาคารที่มีความสูงเกิน 10 เมตร ต้องมีระยะห่างจากแนวเขตที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งอาคารศูนย์ราชการหลักของจังหวัดหรืออำเภอ ศาสนสถาน โบราณสถาน หรือสถานศึกษาไม่น้อยกว่า 200 เมตร โดยวัดระยะจากขอบนอกสุดของอาคาร ที่ขออนุญาตถึงแนวเขตที่ดินของสถานที่ดังกล่าว แต่การก่อสร้างอาคารห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ คาดว่า สูงเกิน 10 เมตร และเป็นไปไม่ได้ที่จะมีระยะห่างจากโรงเรียนประชานุเคราะห์ที่อยู่ในบริเวณเดียวกันเกิน 200 เมตร



Reblog this post [with Zemanta]

Thursday, August 13, 2009

TOPS FOCUS AT VALUE AND QUALITY

Inside a T&T Supermarket.Image via Wikipedia


"เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล" โฟกัสการสร้าง แบรนด์มุ่งครองใจลูกค้า เผยเดินเกมจัดกิจกรรม เน้นคุ้มค่า-คุณภาพ ยึดสโตร์ฟอร์แมตเป็นที่ตั้ง พร้อมชูความหลากหลาย-ประสบการณ์แปลกใหม่ ไม่หวั่น คู่แข่งโดดลุยบัตรสมาชิก มั่นใจ "สปอต รีวอร์ดการ์ด" เจ๋ง เก็บดาต้ามา 5 ปี อินไซต์คอนซูเมอร์เพียบ



 



นางสาวภัทรพร เพ็ญประพัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการตลาดและประชาสัมพันธ์ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ผู้บริหาร เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์, ท็อปส์ มาร์เก็ต, ท็อปส์ ซูเปอร์ และท็อป เดลี่ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าที่ต้องการความคุ้มค่าคุ้มราคาและคุณภาพ บริษัทจะโฟกัสเรื่องการสร้างแบรนด์ให้ดียิ่งขึ้นเพื่อทำให้ท็อปส์เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ในใจของลูกค้าตลอดเวลาผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและมีคุณภาพ แคมเปญการตลาดและการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกตื่นเต้น สนุกสนาน มีประสบการณ์ในการช็อปปิ้งที่แปลกใหม่



สำหรับกลยุทธ์ด้านการตลาด ท็อปส์จะเน้นการนำเสนอมาร์เก็ตติ้งแคมเปญที่ดีที่สุดให้ลูกค้าในแต่ละสโตร์ฟอร์แมตซึ่งมีความแตกต่างกัน เช่น บางฟอร์แมตลูกค้าต้องการโปรโมชั่นราคาแรงๆ อย่างซื้อ 1 แถม 1 หรือบางฟอร์แมตที่ต้องการสินค้าใหม่ มีกิจกรรมที่เกี่ยวกับอาหารต่างชาติ ซึ่งท็อปส์จัดให้เป็นพิเศษสำหรับลูกค้าเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ปีละ 6 ครั้ง



"ความพิเศษของการจัดเทศกาลอาหารในปีนี้คือ การนำอาหารนานาชาติมารวมไว้ในที่เดียวกัน เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ในการเลือกซื้ออาหาร และหลังจากงานเทศกาลอาหารนานาชาติก็จะมีงานเทศกาลอาหารของประเทศอื่นๆ ตามมา เช่น ออสเตรเลีย เยอรมนี ซึ่งทำให้ลูกค้าทั้งคนไทยและต่างชาติรับรู้ว่าท็อปส์เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตที่นำเสนอสินค้าต่างประเทศ จนทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่เมืองนอก"



นางสาวภัทรพรกล่าวว่า ควบคู่กับแนวทางดังกล่าวท็อปส์จะมีโปรโมชั่นรูปแบบต่างๆ ที่ตอบโจทย์ลูกค้าในเรื่องความคุ้มค่าคุ้มราคาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลยุทธ์นี้ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าสมาชิกมียอดซื้อต่อบิลมากขึ้น มีอัตราการเติบโตที่ดี



ล่าสุดได้จัดโปรโมชั่นเรดฮอตกับ แชมพู ขนม และข้าวสาร ก็ทำให้ยอดขายสูงขึ้นถึง 300-400% ส่วนสินค้าในประเทศที่ขายดีคือสินค้าทั่วไปอย่างน้ำมัน ข้าวสาร นอกจากนี้ยังมีสินค้าในประเทศเกรดส่งออกที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น ขณะที่สินค้าต่างประเทศพบว่าที่ขายดีมากคือสินค้าจากประเทศญี่ปุ่น เพราะคนญี่ปุ่นกับคนไทยมีไลฟ์สไตล์ที่ใกล้เคียงกัน



ในแง่การแข่งขันกับห้างอื่นๆ ท็อปส์มีเครื่องมือการตลาดที่สำคัญ ซึ่งช่วยสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งทั้งซูเปอร์มาร์เก็ต หรือไฮเปอร์มาร์เก็ต ได้แก่ บัตรสปอต รีวอร์ดการ์ด ที่ทำมานานกว่า 5 ปี และมีการเก็บข้อมูลของลูกค้าแต่ละกลุ่มอย่างละเอียด แล้วนำมาวิเคราะห์หา customer insight เพื่อสร้าง action plan สำหรับลูกค้าแต่ละกลุ่มเพื่อให้สอดคล้องกับ ความต้องการกับของลูกค้าแต่ละกลุ่มให้มากที่สุด เพื่อดึงให้เขาเป็นลูกค้าท็อปส์ต่อไปนานๆ



"ปัจจุบันการที่คู่แข่งหลายๆ ค่ายจะให้ความสำคัญกับการใช้บัตรสมาชิกมากขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่จะทำให้ลูกค้าเข้าใจเรื่องลอยัลตี้โปรแกรมมากขึ้น และยิ่งมีคนเข้ามาเล่นมากก็ยิ่งทำให้ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบได้ว่าบัตรใดคือบัตรที่ทำให้ลูกค้าได้รับความคุ้มค่ามากที่สุด ที่สำคัญคือในเครือเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (ซีอาร์ซี) เรามีหลายธุรกิจที่สามารถจับมือเพื่อทำกิจกรรมทางการตลาดร่วมกันได้"





Reblog this post [with Zemanta]

Monday, August 10, 2009

MAKRO แก้ปมเปิดสาขาน้อย ผนึกคู่ค้าโหมแคมเปญเพิ่มยอด



"แม็คโคร" ไม่หวั่นเปิดสาขาใหม่น้อย พลิกเกมมุ่งเพิ่มรายได้ เดินหน้าจับมือซัพพลายเออร์ โหมจัดกิจกรรมตอกย้ำภาพศูนย์ค้าส่ง ล่าสุดร่วมกับหัวม้าลายฉลองเบิร์ธเดย์ 20 ปี หวังปั๊มยอดขายหม้อก๋วยเตี๋ยว-ขยายฐาน



เป็นการปรับตัวที่น่าสนใจไม่น้อย สำหรับธุรกิจค้าส่ง "สยามแม็คโคร" ที่นอกจากจะต้องเร่งปรับตัวตามสถานการณ์เศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคแล้ว ยังต้องพลิกกลยุทธ์เพื่อเพิ่มยอดขายในสาขาเดิมให้มากขึ้น เนื่องจากการเปิดสาขาใหม่ถูกจำกัดด้วยใบอนุญาตประกอบการ

ก่อนหน้านี้ผู้บริหารแม็คโครยอมรับว่า 5 เดือนแรก ตัวเลขการเติบโตโดยรวมมีเพียง 2-3% ตามภาวะเศรษฐกิจ และเมื่อเทียบเฉพาะสาขาเดิมที่เปิดให้บริการ พบว่ามีการเติบโตลดลงราว 1-2% ต่อสาขา


"แม็คโคร"แก้ปมเปิดสาขาน้อย ผนึกคู่ค้าโหมแคมเปญเพิ่มยอด




ผู้สื่อข่าวตั้งข้อสังเกตว่า ระยะหลังมานี้ กลยุทธ์หนึ่งที่แม็คโครให้ความสำคัญมากขึ้น ได้แก่การร่วมมือกับพันธมิตร จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายหรือเปิดบริการเสริมให้ลูกค้า นอกเหนือจากการจัดโปรโมชั่นเพียงอย่างเดียว

อาทิ เดือนมิถุนายน แม็คโครจับมือ กับบริษัทประกันภัยเอซ อินชัวรันซ์ นำเสนอบริการและสิทธิพิเศษด้านการประกันภัยประกันอุบัติเหตุให้แก่สมาชิก ถัดมาเป็น การจัดโปรโมชั่นฉลองครบรอบ 20 ปี "แจกรถเป็นล้าน" (29 กรกฎาคม-25 สิงหาคม 2552)

ล่าสุดแม็คโครได้ร่วมกับเครื่องครัว สเตนเลสสตีล ตราหัวม้าลาย จัดงานเปิดตัวหม้อก๋วยเตี๋ยวสเตนเลสสตีลใหม่ และจัดโครงการมอบหม้อก๋วยเตี๋ยว 20 ใบให้แก่ศูนย์ฝึกอาชีพและสถานพยาบาล 20 แห่ง รวมถึงการจัดงานเปิดตัวแนะนำผลิตภัณฑ์กับกลุ่มผู้ประกอบการ

นางสุพรศรี นาคธนสุกาญจน์ รองผู้อำนวยการฝ่ายจัดซื้อสินค้าอุปโภค บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ในลักษณะ ดังกล่าว เป็นการตอบสนองเรื่องกิจกรรมให้แก่ลูกค้าแม็คโคร เพื่อให้ลูกค้าได้สินค้าที่มีคุณภาพในราคาประหยัด การร่วมมือกับหัวม้าลาย จะช่วยตอบสนองลูกค้าในกลุ่ม โฮเรก้า ซึ่งเป็นกลุ่มที่แม็คโครมีความชำนาญ มีลูกค้าอยู่มากกว่า 300,000 ราย การร่วมมือเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ครั้งนี้จะช่วยสร้างยอดขายได้ถึง 20 ล้านบาท และช่วยขยายฐานลูกค้ากลุ่มเครื่องครัวที่ไม่ได้มีแค่กลุ่มร้านอาหารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกลุ่มครอบครัวขนาดใหญ่ที่นิยมทำอาหารรับประทานที่บ้านด้วย

ก่อนหน้านี้ นางสุชาดา อิทธิจารุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้แม็คโครมีสาขาใหม่ 2 แห่ง ได้แก่รามอินทราและชุมพร จากเดิมมี 41 สาขา ขณะที่ปี 2550 มีการเปิดสาขาใหม่ถึง 12 สาขา ส่วนปี 2551 ไม่มีการเปิดสาขาใหม่เลย เนื่องจากไม่มีใบอนุญาต ทั้งที่บริษัทมีความพร้อมทั้งเงินลงทุน หรือสถานะการกู้ รวมถึงความต้องการของผู้บริโภคในพื้นที่ต่างๆ

ด้านความเคลื่อนไหวของค้าปลีกรายใหญ่ค่ายอื่นๆ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้จะมีความระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ก็ยังเดินหน้าเปิดสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเทสโก้ โลตัสที่ปีนี้มีแผนเปิดสาขาขนาดใหญ่ 5-6 สาขา, เอ็กซ์เพรส 40 สาขา

หรือบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ที่เปิดสาขาล่าสุดที่ศรีสะเกษ และจะเปิดเพิ่มอีก 1 สาขา ภายในต้นปีหน้า พร้อมทั้งมีแผนจะเปิดโมเดลร้านสะดวกซื้อมินิบิ๊กซีเพิ่มด้วย ขณะที่คาร์ฟูร์ครึ่งปีหลังมีแผนเปิดสาขาอีก 4 สาขา

เมื่อเทียบกับห้างอื่นๆ จะเห็นว่าแม็คโครเปิดสาขาใหม่ไม่มากนัก และแม้จะมีโพซิชันนิ่งชัดเจนในเรื่องการเป็นศูนย์ค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคระบบสมาชิกสำหรับผู้ประกอบธุรกิจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการจัดโปรโมชั่นค้าปลีกรายใหญ่มีผลต่อการตัดสินใจต่อผู้ค้าปลีกรายย่อยเช่นกัน

THE MALL LAUNCH NEW MODEL

The Mall GroupImage via Wikipedia

"เดอะมอลล์" เปิดสมรภูมิรบค้าปลีกรอบใหม่ หนีภาพกรอบลงทุนเดิมๆ ส่งโมเดล รูปแบบใหม่ไซซ์ขนาดย่อม 2 พันตารางเมตร ยึดย่านดาวน์ทาวน์สุขุมวิท 26 นำร่องยก "ซูเปอร์มาร์เก็ต" ผนึกร้านค้าพันธมิตรออกนอกศูนย์การค้าเป็นครั้งแรก รองรับทาร์เก็ตไฮโซฯ-เอ็กแพต ดีเดย์พร้อมเปิดโฉมปลายปี



การแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกได้มีความเคลื่อนไหวระลอกใหม่ที่แวดวงค้าปลีก เมืองไทยต้องหันกลับมามอง ล่าสุดกลุ่มเดอะมอลล์ที่บริหารศูนย์การค้า 3 แห่ง คือเดอะมอลล์, ดิ เอ็มโพเรียม และสยามพารากอน ในรูปแบบของศูนย์การค้าขนาดใหญ่มาตลอดกว่า 20 ปีนั้น ได้เพิ่มแนวทางการขยายธุรกิจด้วยการชิมลางเปิดการลงทุนโมเดลใหม่บนพื้นที่ 2000 ตารางเมตร ใจกลางย่านถนนสายธุรกิจซอยสุขุมวิท 26



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มเดอะมอลล์ได้เข้าไปเช่าพื้นที่โครงการ K-Village ซึ่งเป็นเนเบอร์ฮู้ดไลฟ์สไตล์แห่งใหม่ของกลุ่มตระกูลอรรถกวีสุนทร บริหารในนามบริษัท คณานันต์ จำกัด ที่พร้อมจะเปิดโปรเจ็กต์ใหม่แห่งนี้อย่างเต็มรูปแบบในช่วงปลายปีนี้ โดยกลุ่มเดอะมอลล์ได้เข้าไปเช่าพื้นที่จำนวน 2 พันตารางเมตร จากพื้นที่ทั้งหมดของโครงการ 1 หมื่นตารางเมตร เพื่อเปิดเป็นโมเดลการขยายธุรกิจรูปแบบใหม่ของกลุ่มเดอะมอลล์และเป็นหนึ่งในแม็กเนตสำคัญของไลฟ์สไตล์มอลล์แห่งนี้



โดยคอนเซ็ปต์นั้นกลุ่มเดอะมอลล์จะทำเป็นพื้นที่รูปแบบขนาดย่อมที่เลือกมาเฉพาะร้านค้าและสินค้าที่พิเศษ มีเอกลักษณ์เฉพาะ เก๋ไก๋ และตรงกับทาร์เก็ตของกลุ่มลูกค้าย่านนี้ที่เป็นบ้านหรู คอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ รองรับทาร์เก็ตกลุ่มลูกค้าระดับเอและชาวต่างชาติที่ทำงานและพักอาศัยในเมืองไทย (expat) โดยจะมีซูเปอร์มาร์เก็ตในระดับเดียวกับกูเม่ต์มาร์เก็ตที่เปิดในสยามพารากอนและดิ เอ็มโพเรียม บนพื้นที่ประมาณ 300-400 ตารางเมตร ส่วนพื้นที่ที่เหลือเดอะมอลล์จะแบ่งให้ร้านค้าที่คัดเลือกว่าตรงกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในรูปแบบต่างๆ เข้ามาเปิดร่วมกัน

แหล่งข่าวระดับสูงในวงการค้าปลีกให้รายละเอียดว่า โมเดลใหม่ของเดอะมอลล์นี้จะเป็นอีกภาพการขยายตัวของกลุ่มเดอะมอลล์ที่ไม่เคยทำมาก่อน เพราะนอกจากจะมีความคล่องตัวสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจแล้ว ยังสอดคล้องกับรูปแบบไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในตลาดที่เปลี่ยนไป ซึ่งคอมมิวนิตี้มอลล์หรือเนเบอร์ฮู้ดไลฟ์สไตล์ต่างได้รับความนิยมมากขึ้น

ก่อนหน้านี้คุณแอ้ว ศุภลักษณ์ อัมพุช หัวเรือใหญ่กลุ่มเดอะมอลล์ เคยให้สัมภาษณ์ถึงทิศทางการขยายธุรกิจของกลุ่มไว้ว่า แนวทางหลักยังคงเป็นการลงทุนด้วย รูปแบบสาขาขนาดใหญ่และต้องเป็น talk of the town ซึ่งเป็นโมเดลที่เดอะมอลล์เชี่ยวชาญ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปิดโอกาสการลงทุนในคอนเซ็ปต์ ใหม่ๆ เพราะถ้าจะเป็นโครงการขนาดเล็กแต่เก๋ไก๋ ไม่เหมือนใคร และเป็น unique "คุณแอ้ว" ก็พร้อมที่จะลงทุน

อย่างไรก็ตามยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่ากลุ่มเดอะมอลล์จะโฟกัสขยายสาขาในรูปแบบนี้ต่อเนื่อง หรือเป็นเพียงแค่การทดลองโมเดลค้าปลีกรูปแบบใหม่ๆ ในห้วงเวลาที่สภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยต่อการขยายศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่กลุ่มเดอะมอลล์มีความชำนาญ ทั้งนี้รายงานข่าวระบุว่า กลุ่มเดอะมอลล์ได้เริ่มพูดคุยและชักชวนซัพพลายเออร์ในหลายๆ กลุ่มสินค้าให้คัดเลือกสินค้าเพื่อวางในโมเดลใหม่นี้แล้ว

ที่ผ่านมานอกจากกลุ่มสยามฟิวเจอร์ที่ถือว่าเป็นผู้นำโมเดลคอมมิวนิตี้ในเมืองไทยแล้วนั้น กลุ่มค้าปลีกขนาดใหญ่ แลนด์ลอร์ด รวมทั้งกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลายๆ รายต่างให้ความสนใจและเข้ามาลงทุนในเซ็กเมนต์คอมมิวนิตี้อย่างต่อเนื่อง ไล่เรียงตั้งแต่กลุ่มเซ็นทรัลรีเทลที่เริ่มเปิดคอมมิวนิตี้มอลล์ในหลายๆ จุด โดยมีโฮมเวิร์คและท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นเรือธงในแต่ละสาขา ด้วยเหตุผลที่สามารถขยายตัวได้คล่องกว่าที่จะรอไปในรูปแบบศูนย์การค้าขนาดใหญ่ รวมทั้งการลงทุนแต่ละแห่งใช้งบประมาณไม่สูงนัก นอกจากนี้ยังมีตระกูลเจ้าของที่ดินกระโดดเข้ามาทำเอง อาทิ จุฬางกูร ควรตระกูล และคอมมิวนิตี้มอลล์ของโครงการเพียวเพลส โมโนโพลี เออร์เบิล สแควร์ และเดอะ พาซิโอ เป็นต้น
Reblog this post [with Zemanta]

Monday, August 3, 2009

ยูดี เดอะ นิว เอ็กพรีเรียนซ์ "โอเพ่นมอลล์" พร้อมเสิร์ฟ

ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเกิดขึ้นของสะพานมิตรภาพไทยลาว สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งแรกของไทยที่เชื่อมหนองคายกับนครเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่บ้านท่านาแล้ง เมื่อปี 2534
กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญทำให้การค้าและการลงทุนในพื้นที่อีสานตอนบนคึกคักและมีสีสันผิดหูผิดตา ขณะที่อุดรธานี เมืองหน้าด่านที่เป็นประตูไปสู่การค้า
การลงทุนในตลาดอินโดจีนก็ได้รับอานิสงส์จากเส้นทางคมนาคมสายนี้เช่นเดียวกัน เพราะแค่ไม่กี่ปีก็มีเม็ดเงินหลั่งไหลเข้ามาลงทุนไม่ขาดสาย ทั้งจากกลุ่มทุนบิ๊กแบรนด์และเจ้าถิ่น

ไม่แปลกที่ยักษ์ค้าปลีกอย่าง "เซ็นทรัลพัฒนา" ยอมทุ่มเงินหลายพันล้านบาท เทกโอเวอร์โครงการเจริญศรีคอมเพล็กซ์จากกลุ่ม "อุดรเจริญศรี"
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็น "บิ๊กดีล" ที่สร้างความฮือฮามากที่สุด

ล่าสุดกลุ่มทุนเจ้าถิ่น "วรพล วีรชาติยานุกูล" "กลุ่มอุดรพลาซ่า" นักธุรกิจพันล้านและแลนด์ลอร์ดเมืองอุดรฯ มองเห็นโอกาสทางธุรกิจ ทุ่มทุนกว่า 600 ล้านบาท
เช่าที่ดินแปลงงาม ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เนื้อที่กว่า 25 ไร่ ผุด "ยูดี ทาวน์ เดอะ นิว เอ็กพรีเรียนซ์" โอเพ่นมอลล์ใหญ่สุด ในประเทศ
รับกระแสบูม เจาะกำลังซื้อ ทั้งในพื้นที่ พื้นที่ใกล้เคียง และที่ทะลักมาจากนครเวียงจันทน์

"วรพล" บอกว่า ได้สิทธิเช่าที่ดินแปลงนี้ 30 ปี ต่อสัญญาได้อีก 30 ปี จึงนำมาพัฒนาเป็นโอเพ่นมอลล์พื้นที่ใหญ่สุดในประเทศไทย ภายใต้แนวคิด กรีนคอนเซ็ปต์
เพื่อให้เป็นไลฟ์สไตล์มอลล์ระดับพรีเมี่ยมแห่งใหม่ของอินโดจีน ตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ ครบวงจร ทั้งแหล่งช็อปปิ้ง แหล่งพบปะสังสรรค์ ซูเปอร์มาร์เก็ต
ศูนย์เทคโนโลยีการสื่อสาร ติวเตอร์ ฯลฯ

ปัจจุบันงานก่อสร้างคืบหน้าไปแล้ว 85% มีผู้เช่าระดับอินเตอร์แบรนด์กว่า 80% คาดว่าทันทีที่เปิดให้บริการเต็มรูปแบบ ในเดือนพฤศจิกายนนี้จะมีลูกค้ามาใช้บริการไม่ต่ำกว่า 2-3 หมื่นราย/วัน
โดยปีแรกที่ลอนช์โครงการได้ทุ่มงบฯ การตลาดกว่า 50 ล้านบาท จัดแคมเปญกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ อาทิ จับมือการท่องเที่ยวจังหวัดอุดรธานี จัดแคมเปญดึงลูกค้าเข้าโครงการ
ร่วมกับ ร.ฟ.ท.จัดรถไฟขบวนพิเศษจากสถานีท่านาแล้ง-อุดรฯ ขนทัพนักกีฬาและสตาฟเข้ามา ช็อปปิ้งในโครงการ พร้อมให้ส่วนลดมากถึง 50-70%
ในช่วงการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ 2009 ที่นครเวียงจันทน์ ฯลฯ

"ในปีแรกน่าจะมีรายได้ 150 ล้านบาท ไม่รวมรายได้จากการจัดอีเวนต์อีกไม่ต่ำกว่า 4-5 ล้านบาท/เดือน เป้าหมายต่อไปคือ ปั้นยูดีฯให้แจ้งเกิดในวงการค้าปลีกให้ได้
โดยมีแพลนที่จะขยายธุรกิจในหลายจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นหนองบัวลำภู สกลนคร ฯลฯ"

นอกจากนี้ยังสนใจจะเข้าไปลงทุน ในประเทศลาวด้วย โดยได้รับการชักชวนจากนักธุรกิจอสังหาฯมาเลเซียที่เข้าไป ร่วมทุนทำธุรกิจกับนักธุรกิจลาว และทำสัญญาเช่าที่ดินเนื้อที่บริเวณท่านาแล้ง
ติดด่านตรวจคนเข้าเมืองลาว 50 เฮกตาร์ หรือราว 300 ไร่ จากรัฐบาลลาวระยะเวลา 50 ปี ตามแผนจะพัฒนา เป็นฟรีเทรดโซนมูลค่าลงทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท
โดยจะแบ่งที่ดินบางส่วนประมาณ 50 ไร่ เพื่อพัฒนาธุรกิจรีเทล แต่อยู่ระหว่างศึกษาข้อกฎหมายและรูปแบบการลงทุน

LinkWithin

Related Posts with Thumbnails